8 พ.ค. 2019 เวลา 00:06 • กีฬา
#คำพูดหลังเกม
เหนือกว่าปาฏิหาริย์ก็คือ "หัวใจ"
มนต์เสน่ห์ของฟุตบอล ......
คำนี้คือแว้บแรกเลยที่เข้ามาในหัวของผมภายหลังจากรับชมคู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ บาร์เซโลน่า ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าก่อนเกมไม่มีใครคาดคิดคาดฝันว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น
ถึงมีก็มีน้อยล่ะ 'เดอะ ค็อป' บางส่วนอาจจะทำใจเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วด้วยซ้ำ
ฮั่นแน่ ! สารภาพมาซะเถอะ
แฟนบอลมีสิทธิ์คิดได้ครับ คิดได้ ทำใจได้ แต่คุณลองคิดดูสิว่าถ้าหาก เยอร์เก้น คล็อปป์ คิดแบบนี้หรือมีนักเตะคนใดคนหนึ่งของ ลิเวอร์พูล คิดทำใจไว้แล้วผลมันจะออกมาแบบนี้ไหมล่ะ ?
"ผมนึกภาพเอาไว้ว่านักเตะของเราจะดีดกันให้สุดก่อนที่เราจะยิงประตูได้ ด้วยความสัตย์จริงนั่นคือสิ่งที่ผมหวังเอาไว้"
"แต่ไม่ใช่แค่เรายิงได้นะ เราจะต้องไม่เสียประตูด้วย ซึ่งมันก็ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่ บาร์เซโลน่า จะยิงไม่ได้ดังนั้นมันเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของเรา"
"ผลการแข่งขันที่ บาร์เซโลน่า ไม่ได้ช่วยอะไรเราในเกมนี้เลยแต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วและเราต้องรับมือกับมันแต่คุณก็สามารถทำได้ถ้าหากคุณค่อยๆก้าวไปทีล่ะก้าว"
"ไม่มีใครคิดว่าเราจะยิงได้ตั้งแต่ 10 นาทีแรกหรือช่วง 5 นาทีสุดท้ายมันจะเพียงพอสำหรับ 3 ประตู"
"เรามาลองดูกัน นั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอดและเราจะทำมันอีกครั้ง"
นี่คือบทสัมภาษณ์ก่อนเกมของ คล็อปป์ ไม่น่าเชื่อ ....... ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาหวัง มันจะเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นต่อหน้าสาวก 'เดอะ ค็อป' ในสนาม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนๆทั่วทุกมุมโลก
มันแสดงให้เห็นว่าสปิริตภายในทีมของทัพ "หงส์แดง" นั้นแรงกล้าสุดๆ พวกเขามีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน ไม่ยอมแพ้ สิ่งเหล่านี้คือสัญลักษณ์ของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การรั้งบังเหียนของ คล็อปป์ ไปแล้ว
ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าวแข้ง 'หงส์แดง' กลายร่างเป็น 'เร้ด แมชชีน' หรือเครื่องจักรสีแดงได้อย่างเต็มตัววันนี้ พวกเขาได้ประตูที่ต้องการอย่างรวดเร็วจากไอ้หนุ่ม 'โจ๊กเกอร์บอย' แห่งรั้ว แอนฟิลด์อย่าง ดิว็อค โอริกี้
ไม่เชื่อก็เชื่ออีกนั่นล่ะเพราะ โอริกี้ นี่คือสภาพเหมือนจะหมดอนาคตกับทีมไปแล้วเพราะเขามักจะโดน คล็อปป์ เมินอยู่บ่อยๆแต่เนื่องด้วยอะไรไม่ทราบทำให้เขายังอยู่กับทีมต่อในฤดูกาลนี้จนอีโวลูชั่นตัวเองจากแข้งสำรองลงก็ได้ไม่ลงก็ดีให้เป็นซูปเปอร์ซัพ
โอริกี้ ได้รับเลือกลงสนามเป็นตัวจริงก่อน แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ซึ่งมันก็คงทำให้เขาพอใจและมั่นใจไม่น้อย
ประตูแรกมาไว ทุกๆอย่างเริ่มเข้าทาง อีกทั้ง บาร์เซโลน่า พยายามเปิดเกมสวนแล้วทว่าพวกเขากลับไม่สามารถทำลายกำแพงแนวรับของ ลิเวอร์พูล ได้เลย
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่โดนด่าแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเมื่อนัดก่อนมานัดนี้เขาปักหลักเป็นกำแพงเหล็กผสานกับ โฌแอล มาติป ได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง
หลุยส์ ซัวเรซ และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ หายไปจากเกมเลย
อดีต 2 แข้งความหวังของ ลิเวอร์พูล ราวกับโดนอะไรดูดออกไปจากผืนสนามหญ้าที่ แอนฟิลด์ ไม่รู้จะด้วยเพราะแรงกดดัน เสียงโห่จากรอบทิศทางรึเปล่าไม่ทราบได้ทำให้ทั้งคู่จืดสนิท
สิ่งสำคัญในเกมนี้เลยก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ เล่นไม่ออก ไม่ออกเลยจริงๆ เขาพยายามแล้วครับ ลงมาล้วงบอล กระชากตะลุยฟ่าฟันเข้าไป หรือแม้แต่วิ่งหาช่อง
ทำไม่ได้ ......
จุดเปลี่ยนของเกมมันอาจจะไม่ใช่ประตูแรกของ โอริกี้ อะไรหรอก แต่มันอาจจะเป็นการต้องปรับเปลี่ยนแทคติกเฉพาะหน้าของ คล็อปป์ เนื่องจาก แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทะลึ่งเจ็บทำให้เขาจำเป็นต้องส่ง จีนี่ ไวนัลดุม ลงสนามไปแทน
อ่ะฮะ
ไวนัลดุม ก็สำแดงเดชมันให้เห็นในทันทีว่าตำแหน่งกูต้องมิดฟิลด์โว้ย !
หากยังจำกันได้ คล็อปป์ สุดแสนจะอินดี้ด้วยการจับ ไวนัลดุม ไปเล่นเป็นกึ่งๆ 'เฟลส์ ไนน์' ในนัดแรกกับ บาร์ซ่า จนโดนด่ายับมาแล้ว
มาคราวนี้ ไวนัลดุม ได้เล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัดคือมิดฟิลด์ตัวกลางที่สามารถสอดขึ้นไปทำประตูได้และจุดเริ่มต้นแห่งอภินิหารแอนฟิลด์ก็เริ่มต้นขึ้น
2 ประตูใน 2 นาที ใครจะไปเชื่อล่ะว่า ไวนัลดุม คือคนทำได้
สกอร์ 3-3 ว่าตาแตกแล้วแต่เท่านั้นยังไม่พอ ลิเวอร์พูล ไม่ได้หมายต้องการแค่เสมอ ไม่รู้ว่าหัวจิตหัวใจของนักเตะแต่ล่ะคนแม่งทำด้วยอะไรจนสุดท้ายตะบี้ตะบันเอาประตูที่ 4 ได้สำเร็จ
พีกยิ่งกว่าพีก
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลักไก่เปิดเตะมุมให้ โอริกี้ ยืนตวัดบอลเข้าประตูไปได้ชนิดที่แข้งหลายรายยังยืนงงในดง แอนฟิลด์ อยู่เลย
ทุกๆอย่างคือปฏิหาริย์งั้นเหรอ ?
พูดแบบนั้นก็คงไม่ผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากคุณไม่มีศักยภาพมากพอมันจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ไหมล่ะ ? ทุกๆอย่างล้วนต้องมีฝีมือด้วยส่วนโชคนั้นค่อยว่ากันทีหลัง
หาก โอริกี้ ไม่มีสัญชาตญาณศูนย์หน้าเขาจะไปยืนรอซ้ำลูกยิง เฮนโด้ ไหม ? หากว่าเขามีทักษะการจบสกอร์ที่ไม่ดีพอจะยิงลูกเปิดของไอ้หนู อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่กระดอนพื้นก่อนทีนึงหนีมือ แตร์ ชเตเก้น ได้ป่ะล่ะ ?
หากไม่มีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว โชคก็คงไม่เกิดล่ะครับ บรรดานักเตะของ ลิเวอร์พูล ได้พิสูจน์เรื่องนี้มานักต่อนักแล้วในฤดูกาลนี้
"ผมบอกเด็กๆของผมก่อนเกมว่าเกมนี้มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะว่านี่เป็นพวกคุณดังนั้นมันจะต้องเป็นไปได้"
"ตอนนี้ 22.10 น. แล้วดังนั้นเด็กหลายคนคงหลับปุ๋ยไปแล้วทว่าเด็กๆของผมนั้นหัวจิตหัวใจแม่งโคตรได้เลยเว้ย แม่งไม่น่าเชื่อจริงๆ"
"เกมนี้ทั้งเกมมันสุดยอด มันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะเราเผชิญหน้ากับทีมที่บางทีดีที่สุดของโลก"
"ชัยชนะมันเป็นเรื่องยากอยู่แล้วแต่การชนะพร้อมคลีนชีทอีก ผมไม่รู้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าพวกเด็กๆผมทำได้ยังไง มันน่าเหลือเชื่อ"
"ผมเห็น เจมส์ มิลเนอร์ ร้องไห้ในสนามหลังจบเกม มันมีความหมายต่อเราทุกคนจริงๆ นี่แหละคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฟุตบอล"
คล็อปป์ กล่าวแบบอารมณ์มาเต็มหลังจบเกมการแข่งขัน นายใหญ่ชาวเยอรมันถึงกับสบถใช้คำว่า 'Fucking' เลยนะครับ ถึงแม้มันจะดูไม่เหมาะสมแต่มันก็แสดงให้เห็นถึงว่าเขาสะใจกับเกมนี้มากขนาดไหน
ความเชื่อมั่นที่เขามีต่อลูกทีมทุกคนนั้นมันเริ่มส่งผลกลับมาหาเขาแล้วครับ ขุนพล 'เร้ด แมชชีน' แต่ล่ะคนใส่เกียร์ 5 ทุ่มเกินร้อยแทบจะทุกนัดเพื่อไม่ให้ความไว้วางใจจากผู้จัดการทีมนั้นเสียเปล่า
โมเมนตั้มมาในช่วงท้ายฤดูกาลแบบนี้ น่าสนใจเหลือเกินว่าท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล จะสามารถคว้าได้กี่โทรฟี่ส์ในฤดูกาลนี้
เค.เค.
ช่องทางติดตามอีกทางที่นี่ครับ :
โฆษณา