13 พ.ค. 2019 เวลา 14:32
อำนาจเงิน...
ครั้งกระหนึ่ง เพื่อนผู้เขียน ได้มาขอความช่วยเหลือให้เป็นล่ามให้หน่อย
เรื่องมีอยู่ว่า.....
เขาต้องการไปเก็บของ ของเขาออกจากร้านที่แฟนเก่าทำร้านอาหารอยู่ แต่พอไปถึงก็ได้รู้ว่าร้านปิดแล้ว ประตูล๊อคอยู่ มีของที่ใช้ตกแต่งสองสามชิ้น ที่ติดอยู่ด้านนอกร้าน ที่เขาเคยซื้อให้ คิดด้วยความแค้นใจ อะไรที่้ป็นของเขา เขาจะเอาไปให้หมด แล้วก็แกะออกมา
ผ่านมาได้ 1 วัน มีตำรวจมาตามถึงบ้านพัก และบอกว่า มีคนไปแจ้งความคุณข้อหาลักทรัพย์ ด้วยอุปสรรคของภาษา ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสไปเป็นตัวแทนของเขาในการเจรจากับตำรวจ
ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ว่าเพื่อนคนนี้ไปแกะเอาทรัพย์สินที่เจ้าของไม่ได้อนุญาติ ออกจากพื้นที่ เขาเลยมาแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ เพื่อนเนี๊ยะเป็นคนต่างชาติ ลักทรัพย์ในประเทศไทยเป็นคดีอาญา สั่งจำคูกได้เลย....เดี๋ยวก่อนค่ะคุณตำรวจให้เขาได้อธิบายหน่อยนะ เพราะเขาไม่รู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นมีคดีพิพาทอยู่ก่อน ผู้เช่าคือแฟนเก่าและได้มีคดีความเรื่องค่าเช่าและเซ้งกับผู้ให้เช่า ส่วนคนนี้ไม่รู้เรื่อง
ตำรวจบอกว่าที่หน้าร้านมีคำสั่งศาลที่มีตราครุทประทับ และมีข้อความว่า ต้องเป็นเจ้าของบ้านเท่านั้นที่จะแตะต้องสิ่งของในนี้ได้....คนอื่นแตะต้องถือว่าละเมิดคำสั่ง และมีโทษตามกฏหมาย...
โอเคเข้าใจค่ะ ผู้เขียนก็อธิบายให้เขาไปว่าทำไมตำรวจถึงมาจับเขา เพื่อนผู้เขียนจึงบอกว่า ขออภัยเพราะเขาไม่รู้ว่าพื้นที่แห่งนั้นมีข้อพิพาทอะไรกันอยู่ และเขาก็เห็นว่ามีกระดาษแปะอยู่ แต่อ่านภาษาไทยไม่ออก
เพื่อนผู้เขียนขอคุยกับผู้ร้องทุกข์ อยากจะเอาของที่แกะมา(มีไฟดวงใหญ่ 2 ดวง)คืนเขาไปและจะขอโทษเขาด้วยที่ไปวุ่นวายในพื้นที่โดยไม่ขออนุญาติ....
ปรากฏว่าผู้ร้องทุกข์ ไม่ยอมคุย ไม่ยอมมา ไม่ยอมความ ไม่เจรจาอะไรทั้งนั้น ให้จับขังท่าเดียว ให้คุยกับทนาย ผู้เขียนก็โทรไปหาทนายของผู้ร้องทุกข์อธิบายว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีเจตนาลักขโมย ขอเจรจา รู้ใหมทนายเขาบอกว่าไง....
เขาจ้างผมมาจับเพื่อนคุณเข้าคุก ผมก็จะทำตามหน้าที่จองผม คุณก็หาหลักฐานไปสู้กันในศาลก็แล้วกัน! แล้วก็วางสาย
ผู้เขียนตกใจมากกกกก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอคนแบบนี้ ใจสั่นมือสั่นไปหมด ทั้งกลัวทั้งโกรธแทน
คนเราอะไรมันจะใจดำปานนี้นะ
ผู้เขียนคุยกับเพื่อนจะเอาไงดีเขาไม่ยอม จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับอีแค่ไฟสองดวงที่แกไปแกะมาเนี๊ยะ ตำรวจบอกว่าให้เวลา 1 วันไปเตรียมหลักฐานมาพิสุจน์ให้ได้ว่าของเนี๊ยะ มันเป็นของเขาจริงๆ
เราก็พยายามหาหลักฐานทุกอย่าง ทั้งใบเสร็จการจ่ายเงิน อีเมลการสั่งซื้อออนไลน์ รูป และอะไร ต่อมิอะไร อีกมากมาย ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน แล้วก็เอาไปให้ตำตรวจในวันรุ่งขึ้น
ตำรวจบอกจะพยายามช่วยแต่ท่าทางจะยาก เพราะอีกฝั่งเป็นผู้มีอิทธิพล....ผู้เขียนไม่เชื่อ ไปสืบเองเลย...ปรากฏว่าเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ
ผู้ร้องทุกข์ เหมือนจะสนุกที่เห็นคนอื่นทุกข์และดิ้นรนเอาตัวรอด...เขาเป็นถึงอาจารย์ ด๊อกเตร์อหลายสาขาดีกรีนอก เป็นคนมีความรู้สูง มีหน้าตาในสังคม พ่อเป็นนักการเมืองมีอิทธิพลพอตัว มีทั้งทรัพย์และอำนาจมาก....แต่ไม่มีจิตเมตตา!
ผู้เขียนถามตำรวจมีวิธีไหนบ้างที่เพื่อนพอจะหลุดจากคดีนี้ ตำรวจเองก็เห็นว่ามันเกิดจากความไม่ตั้งใจ และหลักฐานเราก็เตรียมมาพร้อม จะปรับก็พร้อมเสียค่าปรับ ผู้ร้องทุกข์จะให้ขอโทษ กราบแทบเท้าก็จะยอม เพื่อนผู้เขียนเป็นชาวต่างชาติและเป็นนักเรียนเขาไม่อยากให้เสียประวัติ
ตำรวจอ้ำอึ้ง ไม่ยอมตอบ บอกท่าเดียวว่ายากไม่ได้ ยากช่วยไม่ได้ ผู้เขียนและเพื่อนหมดหวังและโกรธมาก โอเคงั้นก็สู้ เดี๋ยวจะไปเตรียมทนาย ไปสู้กันในชั้นศาลก็แล้วกัน เสียก็ให้มันเสียไปประวัติ คนอะไรใจดำ เราเชื่อมั่นในความบริสุทใจของเรายอมเสียเงินจ้างทนายเก่งๆมาสู้กันซักตั้งเป็นไง....
หลังจากกลับบ้านนัดเจอทนายวันรุ่งขึ้น ตกลงราคากันเรียบร้อย คืนวันนั้น ตำรวยโทรมาหาผู้เขียน ขอคุยด้วยหน่อย....บอกเพื่อนซิทางช่วยหน่ะมีและเพื่อนเราก็จะไม่มีประวัติด่างพล้อยด้วยจะเอาใหม อาทิตย์เดียวเรียบร้อย สองแสนห้า....
ผู้เขียนตกใจรอบสอง มือสั่นงันงก สองแสนห้า!!!
ผู้เขียนรีบต่อสายถึงทนายคืนนั้นเลย ทนายบอกว่าตำรวจต้องการเป่าคดี คือทำให้มันยกฟ้องไป ก็ลองถามเพื่อนดูจ่ายไหวใหม หรือไม่ก็ขอลดลงอีกมันแพงเกิน ที่แพงเพราะเขาเป็นคนต่างชาติ ถ้าเขาจะสู้ตามกระบวนการ มันใช้เวลานาน ทนายจะช่วยเต็มที่ แต่ถ้าเขาไม่อยากเข้าสู่กระบวนการตำรวจก็เสนอทางให้แล้ว ลองคิดดู...
ผู้เขียนอธิบายให้เพื่อนฟัง มันร้องไห้โฮเลย ไม่น่าเชื่อว่าเรืองแบบนี้จะเกิดขึ้น ไม่มีเจตนาทำร้ายใคร กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาลักทรัพย์ของตัวเอง ผู้เขียนก็ปลอบไปว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ตอนนี้เป็นขาลงของเรา ต้องอดทน มันเกิดขึ้นแล้วหาทางออกกันดีกว่า ทำไงดี เรากำลังเผชิญหน้ากับคนพาลมืออาชีพ คนพาลที่มีทั้งอำนาจ อิทธิพลและเงินอยู่ในมือ เราไม่รู้ใครเป็นพรรคพวกใคร ขนาดผู้รักษากฏหมายยังเรียกเงิน ขึ้นศาลหล่ะ จะรู้ได้ไงว่าผู้พิพากษาไม่ใช่เพื่อนเขา....เรารู้ไม่ได้เลย ดีไม่ดี เขากับตำรวจเป็นเพื่อนกัน เป่าคดีแล้วก็แบ่งกันกิน....ยิ่งคิดยิ่งเครียด...
ตกลงเราจะต่อรองกับตำรวจ ให้เป่าคดี เพื่อนผู้เขียนบอกว่า ฉันมีเวลาอยู่อีกแค่สามเดือนต้องบินกลับบ้าน ถ้าทำไปตามกระบวนการอาจใช้เวลานานกว่านั้น และจะถูกกักตัวออกนอกประเทศไม่ได้ และที่สำคัญเราไม่รู้ใครเป็นใคร ใครเอี่ยวใครกันบ้าง ถือเป็นคราวซวย ถ้าจ่ายเงินแล้วจบ ยอมจ่าย!...
ท้ายสุดแล้วเราตกลงกับตำรวจให้เป่าคดี เหลืออยู่ แสนสอง เพราะมีเพื่อนของญาติผู้ใหญ่ของผู้เขียนรู้จักกับผู้กำกับโรง(ขอบคุณบารมีของเพื่อนญาติผู้ใหญ่) โทรไปต้อรองราคาลงมา...จ่ายเงินเสร็จคืนนั้นเพื่อนผู้เขียนได้พาสปอทคืนเลยทันที
ใครเอี่ยวใครบ้างผู้เขียนไม่รู้ ด้วยอำนาจแห่งเงินตราภายในอาทิตย์เดียวเรื่องก็จบ
นี่แหละอำนาจเงิน นึกถึงแล้วก็ใจหาย ผู้คนเหล่านี้เขาไม่กลัวเกรงบาปกรรมรึยังไงนะ น้าผู้เขียนบอกว่า ในวงการนี้เขาทำกันจนชิน จนกลายเป็นเรื่องไม่ผิด....รู้สึกสะเอียน ขออย่าได้ข้องแวะกับผู้คนเหล่านี้เลย
ตอนนี้เพื่อผู้เขียนย้ายกลับบ้านไปแล้ว จะกลับมาเที่ยว แต่คงไม่มาอยู่นานเป็นปีกลัวเจอคนพาลแบบนี้ กลับไปทำงานเก็บเงินก่อนก็แล้วกัน เสียไปเยอะ
สาระสำคัญ คนมีอำนาจอาจมีเงิน อาจทำเรื่องผิดให้ถูกได้ แต่กฏแห่งกรรมเที่ยงธรรมเสมอ จะหนีไปได้อย่างไร
#Kiddeedee
โฆษณา