15 พ.ค. 2019 เวลา 13:20 • ปรัชญา
เรื่องสั้น : L.I.F.E
"Loop"
"พีท" ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา จบปริญญาตรีมาด้วยเกรดนิยมอันดับ C หลังจากจบมาแล้ว พีทต้องรอช่วงสมัครงานอยู่นานเกือบครึ่งปี จนได้งานที่บริษัทธรรมดาๆแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือนธรรมดาๆเท่าๆกับพนักงานบริษัททั่วๆไป งานที่ทำก็ธรรมดา พิมพ์เอกสาร ตรวจสอบความถูกต้อง ส่งให้ฝ่ายบัญชี แล้วรวบรวมสถิติส่งให้ผู้จัดการฝ่ายการตลาดทุกสิ้นเดือน งานของพีทมีแค่นี้..
พีทต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อให้ทันคิวรถจากแถวชานเมือง เพื่อมานั่งต่อที่ท่าเรือแล้วต่อเรือหางยาวมาขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกต่อจนถึงที่ทำงาน เพราะเส้นทางที่ว่า เป็นเส้นทางที่ประหยัดทั้งเวลาและเงินในกระเป๋าของพีทมากที่สุดแล้ว แม้จะต้องตื่นเช้า ทนกลิ่นน้ำเน่า หรือหัวเข่าฟาดกระจกรถยนต์เกือบทุกวันก็ตาม
พีทไม่ค่อยเสวนากับเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่ ทุกคนรู้ดีว่าพีทเป็นคนประหยัด ห่อข้าวมากินเองทุกเที่ยง และตรงดิ่งกลับบ้านทันทีที่เลิกงาน ไม่เคยแวะสังสรรค์นั่งร้านกาแฟ ลานเบียร์ ไม่เคยโหยหาอาหารกินตามร้านดังทั้งโรงแรมหรือห้างใหญ่ เพราะพีทรู้ดีว่าต้องเก็บออมไว้ เพราะชีวิตเค้าไม่ได้เกิดมาสบาย ชีวิตที่ไร้พ่อแม่ มีเพียงยายที่ส่งเสียเลี้ยงดูเค้ามาตั้งแต่แบเบาะ และตั้งชื่อให้ตามพระเอกชื่อดังสมัยเค้าเกิด "พีท ทองเจือ" ชื่อเล่นของเค้ามีที่มาเช่นนี้เอง
เงินเดือนทุกเดือนจะเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ากินค่าอยู่ของสองปากท้อง รวมถึงค่าเดินทางของยายเวลาไปหาหมอเพื่อรักษาอาการโรคหัวใจ เพราะสมัยยังมีแรงทำงาน ยายรับจ้างทำทุกอย่าง ทั้งดายหญ้า ปลูกข้าว ทำความสะอาด ล้างชามตามร้านอาหาร เก็บผักที่ปลูกเองไปฝากขายที่ตลาด เงินที่หาได้เพื่อส่งเสียพีทให้เรียนให้สูงที่สุด จนร่างกายยายเริ่มไม่ไหว เคราะห์ดีที่พีทได้งานทำพอดี แม้ว่าจะไม่ได้รายได้มากมายอะไร แต่ก็พอใช้ไม่ขัดสน คงด้วยความประหยัดที่ยายพร่ำสอนมาตลอดนั่นเอง
ชีวิตในแต่ละวันนอกจากงานที่ทำ กลับบ้านแล้วพีทต้องหากับข้าวกับปลาให้ยายทาน ทำความสะอาดบ้านนิดหน่อย เพราะส่วนหนึ่งยายก็เก็บกวาดไปบ้างเวลาว่างๆอยู่ที่บ้าน ยังเหลือซักผ้ารีดผ้า และช่วยยายพับถุงกระดาษเพื่อไปส่งร้านขายกล้วยทอดที่ตลาด เป็นรายได้เสริมช่วยพีทอีกทางที่พอจะทำได้
ชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวัน เกือบ 365 วันต่อปี จนบางทีเวลาที่พีทเดินไปขึ้นรถกลับบ้าน เห็นหนุ่มสาวๆสังสรรค์กัน นั่งส่งรอยยิ้มให้กัน หรือนั่งกุมมือกัน....
"ดูชีวิตพวกเค้าช่างน่าอิจฉาเสียจริง" พีทเหม่อมอง และก้มหน้าเดินกลับบ้านต่อไป
"บางที ชีวิตมันก็น่าเบื่อและบัดซบอยู่ในทีนะ"
พีทเผลอคิดในบางคืนที่ล้มตัวลงนอน แล้วนึกถึงชีวิตในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า..
"Irritation"
"พีทเอ้ย...พีท..ตื่นหรือยังลูก...พีท"
เสียงดังแว่วๆอยู่ข้างๆหูพีท แต่วันนี้เค้ารู้สึกเหมือนร่างกายมันอยากอยู่นิ่งๆ มันเหมือนกำลังประท้วงที่ใช้งานมันมาหนักหนามาหลายปี
"ตื่นแล้วยาย ตื่นแล้ว.."
พีทหอบสังขารที่อ่อนล้าลุกขึ้น ล้างหน้า แต่งตัว แล้วออกไปทำงานอย่างที่เคยทุกวัน
ในขณะที่กำลังปิดประตูรั้วไม้หน้าบ้าน ยายตะโกนมาไวๆจากในบ้าน
2
"พีท ตอนเย็นพายายไปหาหมอหน้าปากซอยทีนะ ยายเหนื่อยๆยังไงไม่รู้วันนี้"
พีทถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนใส่กลอนแล้วรีบสาวเท้าออกไปเพื่อให้ทันรถก่อนที่จะสายไปกว่านี้
เหมือนจะก้าวเท้าออกบ้านผิดข้าง ถ้าไม่นับที่โดนน้ำเน่าจากคลองสาดใส่เสื้อตัวนอก และโดนกระจกข้างรถฟาดใส่หัวเข่าอย่างเต็มแรงแล้ว การโดนหัวหน้าเรียกพบ ถือเป็นความโชคร้ายมากๆของวันนี้
"คุณอดิศักดิ์ ปกติคุณไม่เคยมีปัญหามาสายนี่ แต่วันนี้แย่หน่อยนะ เพราะเอกสารสำคัญที่คุณรับผิดชอบดำเนินการอยู่ไม่มีใครทราบเรื่องเลย ดีนะที่ลูกค้าให้เลื่อนกำหนดส่งเป็นพรุ่งนี้ได้ ไม่งั้นเราจะเสียหายมากเลย... เอาหล่ะ ไปทำงานต่อได้ ผมถือว่านี้เป็นครั้งแรก ผมให้โอกาสคุณนะ ไปได้แล้วครับ"
พีทก้นหน้าฟังเงียบๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องหัวหน้ามาช้าๆ เค้าสังเกตุได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาขณะที่เค้าเดินรี่มาที่โต๊ะทำงาน สายตาเหลือบไปเห็นพนักงานสาวสองสามคนจับกลุ่มกัน พร้อมชี้มือชี้ไม้มาทางโต๊ะเค้า
"คงนินทาเรื่องเสื้อนอกที่เน่ามากสินะ โถ่เว้ย..ทำไมวันนี้มันซวยจริง!"
"พวกผู้หญิงพวกนี้ก็ว่างยุ่งเรื่องคนอื่นซะจริง ว่างก็ไปงานซะบ้างเหอะ ขอร้อง"
พีทนั่งถอนหายใจอีกเฮือก พร้อมนั่งใคร่ครวญถึงเหตุการณ์เมื่อวานเย็น เพราะเอกสารมาส่งที่โต๊ะเกือบห้าโมงเย็นแล้ว เค้าพยายามเคลีย์บิลพวกนั้นให้เรียบร้อย แต่เพราะตัวเลขจำนวนมาก เค้าเกรงว่าจะผิดพลาดจึงเก็บไว้เพื่อรีบมาทำตอนเช้า เพราะถ้าสายกว่านี้เค้าคงไม่มีเวลาแวะซื้อกับข้าวสำหรับมื้อเย็นและเช้าวันพรุ่งนี้ แถมถ้าตกรถยายคงรอจะหิวเมื่อเมื่อวันก่อน
พีทนั่งกุมขมับพร้อมถอนหายใจอีกเฮือก มีน้ำตารื้นออกมาจากดวงตาใต้แว่นกรอบหนาสีดำทรงเชยๆที่ใส่มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
1
"ทำไมชีวิตแม่งห่วยแบบนี้ว่ะ เหนื่อยโว้ย!"
นาฬิกาชี้บอกเวลาห้าโมงตรง พีทจัดการงานจนเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง เค้ารีบคว้าเสื้อนอกที่ส่งกลิ่นเน่าๆมาทั้งวัน ม้วนใส่กระเป๋าสะพาย แล้วรีบลุกออกจากออฟฟิตทันที ขณะเดียวกับที่ประตูห้องเจ้านายเปิดออก เค้าเรียกหาพีท แต่พีทเพิ่งออกประตูออฟฟิตไปเพียงไม่กี่วินาทีก่อนหน้า เค้าตรงดิ่งขึ้นรถเพื่อแวะตลาดสดซื้อกับข้าวเย็นและมื้อเช้า แล้วรีบกลับบ้านในทันที
"ยาย..ยาย กินข้าวแล้วรีบไปหาหมอกัน ยาย"
ยายค่อยผุดลุกจากหมอนอิงสามเหลี่ยมที่วางบนพื้นบ้าน หน้าตายายดูอ่อนแรง มีไอหอบและดูเหนื่อยอย่างมาก แต่ก็พยายามดันตัวลุกขึ้นจนได้
"แค๊กๆ..แค๊กๆ .."
"ยาย ไหวมั้ย ดูท่าจะเหนื่อยมาก เรารีบไปกันนะ ไปโรงพยาบาลกันดีกว่า" พีทรีบทรุดตัวเข้าไปพยุงยาย
"ไปหาหมอหน้าปากซอย...แค๊กๆ..ก็พอมั้งลูก"
"ไปโรงพยาบาลดีกว่า ผมว่ายายต้องไปหาหมอให้ตรวจให้ละเอียดแล้วนะ"
"ไม่เอาหล่ะ เดี๋ยวฉีดยาซักเข็มก็หาย ไปโรงหมอมันเสียเวลา เดี๋ยวเอ็งจะไม่ได้พักผ่อนกันพอดี เหนื่อยมากแล้วลูกเอ้ย..แค๊กๆ...แค๊กๆ...แค๊กๆ"
"ยาย!...ยาย! ยายไหวมั้ยครับ ยาย!......"
ร่างของยายทรุดลงมอบคว่ำลงกับพื้น ไร้เสียงตอบใดๆจากยาย มีเพียงเสียงหายใจที่ดังครืดคราดที่ดูเหมือนกำลังเบาลงเรื่อยๆ
1
"ยาย!..ยายครับ...ยาย"
ความเงียบเข้าปกคลุม มีเพียงเสียงไซเลนรถพยาบาลดังไกลออกไป ไกลออกไป...
 
ในรถพยาบาลมีชายหนุ่มเนื้อตัวเปียกโชกด้วยเหงื่อ นั่งกุมมือหญิงชราผู้เป็นเหมือนจะเกียงดวงน้อยที่ให้แสงสว่างท่ามกลางพายุฤดูร้อนที่เกรี้ยวกราด...น้ำตามันไหลรินไม่ขาดสายจากดวงตาของชายหนุ่มผู้ที่เคยบอกตัวเองให้เข้มแข็งอยู่เสมอ...แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว
"False Negative"
พีทนั่งกุมมือที่เปียกชื้นราวกับกำลังอธิฐานขออะไรบางอย่างต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ได้ที่จะมีอยู่จริง ซึ่งถ้าอ่านใจเค้าได้คงได้ยินแต่เสียงก้องของคำขอที่ว่า
"ให้ยายปลอดภัย ขอให้ยายหายด้วยเถอะครับ"
ยายยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน พีทนั่งรออยู่นานหลายชั่วโมงจนราวเที่ยงคืน หมอประจำห้องฉุกเฉินเดิมมาคุยกับพีท เค้ายืนนิ่งเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ พอหมอเดินจากไป พีททรุดกายลงบนเก้าอี้เหล็กที่วางเรียงยาวหน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงก้องในหูทั้งสองข้าง ราวกับแผ่นเสียงที่ตกร่องซ้ำไปมา
"คนไข้มีภาวะหัวใจวายครับ อาการตอนนี้ยังน่าห่วงครับ หมอให้ยาขับปัสสาวะแล้ว คนไข้ยังเหนื่อยและไอมากครับ ขอหมอดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกซักระยะนะครับ คุณกลับไปพักที่บ้านก่อนแล้วค่อยกลับมาเฝ้าอีกที เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปห้อง ICU ก่อน เพื่อให้การดูแลที่ใกล้ชิดนะครับ"
1
พีทเดินโซเซออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน คงเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็น จนตอนนี้เกือบตีสามแล้ว พีทเดินเข้าบ้านเก็บกวาดถุงแกงที่หกกระจายตอนโยนทิ้งออกไปเพื่อประคองยาย เค้าเข้าไปอาบน้ำเพื่ออยากให้ร่างกายสดชื่น และน้ำจากฝักเบาเก่าๆที่พุ่งออกมา มันช่วยกลบน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างพรั่งพรูได้เป็นอย่างดี
"สวัสดีครับ ฝ่ายบุคคลเหรอครับ ผมอดิศักดิ์ ฝ่ายจัดซื้อนะครับ ผมขอลางานซักสองวันนะครับ พอดีมีธุระด่วนครับ.."
"ค่ะ คุณอดิศักดิ์ พอดีหัวหน้า..." แต่ปลายสายของพีทก็วางหูไปก่อนเสียแล้ว
พีทไปเฝ้ายายที่หน้าห้อง ICU มาทั้งวัน แต่ก็ได้แค่เฝ้าจากนอกห้อง มีหมอมาดูอาการยายบ้างวันละสองรอบ แล้วก็บอกเหมือนเดิมคือ
"อาการยังทรงๆนะครับ อาการน้ำท่วมปอดดีขึ้นบ้าง แต่พบอาการหัวใจโต หมอคาดว่าคงเป็นเพราะโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รักษาให้เหมาะสมครับ"
พีทนั่งทบทวนกับตัวเองอยู่นาน จนรู้สึกว่าเค้าบกพร่องในเรื่องที่ไม่ดูแลยายให้ดีพอ จนยายต้องป่วยหนักขนาดนี้ พีทรู้แค่ว่าเค้าต้องพยายามมากกว่านี้แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ต้องมากกว่านี้ เค้าจะสู้...ขอแค่ยายอย่าเป็นอะไรมากก็พอ ระหว่างที่นั่งอยู่มีสายแปลกๆโทรเข้ามา แต่พีทไม่รับเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง คงไม่ใช่เรื่องอะไรสำคัญนัก ซึ่งจริงๆในเบอร์ที่บันทึกก็มีเพียงเบอร์ที่ทำงาน เบอร์เพื่อนสมัยเรียน และเบอร์บอยเพื่อนที่นั่งทำงานข้างๆ แค่นั้นเอง พีทแทบจะไม่ได้คุยกับใครมากนักช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
เช้าอีกสองวันต่อมา พีทเดินเข้ามาในออฟฟิต บอยรีบเดินมากระซิบเบา
"พีท หัวหน้าเรียกมึงว่ะ ถามหามึงมาสองวันละ กูบอกว่ายายมึงป่วย เลยลางาน มึงรีบไปเลยนะ ไม่รู้แกจะบ่นอะไรอีก"
พีทพยักหน้า รีบเดินไปพบหัวหน้าทันที
"อ้าว อดิศักดิ์ มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ คุณยายเป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย"
"หมอยังให้รอดูอาการครับ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง"
"อืมม ผมก็เข้าใจนะ แม่ผมก็เคยไม่สบายนานเชียว ผมก็วิ่งรอบเลย เล่นเอาเครียดอยู่นาน เอางี้นะ ผมจะให้คุณทำงานที่บ้านก็ได้ เพราะจริงๆผมจะเลื่อนให้คุณเป็นรองหัวหน้าฝ่ายขายอยู่แล้วนะ พอดีวันนั้นมีปัญหานิดหน่อย แต่จริงๆคุณเป็นคนขยันและทุ่มเทให้บริษัท ผมทราบดี ตั้งแต่ทำงานมา ผมตรวจสอบประวัติแล้ว คุณไม่เคยลางานเลยซักวัน ต่อไปนี้เข้ามาทำงานวันเว้นวันก็ได้นะ แต่เอกสารจะจัดส่งให้ทาง e-mail คุณตรวจสอบแล้ว จัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องส่งมาให้จากที่บ้านก็ได้ แต่ต้องให้ถูกต้องครบถ้วนเหมือนเดิมนะ คุณจะได้มีเวลาดูแลยายเพิ่มอีกนิดก็ยังดี...อ่อ ผมให้แผนก IT เค้าหา notebook ให้คุณเครื่องหนึ่งแล้วนะ ไม่ใช่เครื่องใหม่หรอก แต่ใช้งานได้ดี คุณไม่ต้องกังวล เอาละไปทำงานเหอะ ผมฝากของเยี่ยมไว้ที่โต๊ะนะ ฝากไปเยี่ยมคุณยาย ขอให้หายไวๆนะ"
"ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆครับ หัวหน้า" พีทยกมือไหว้ รีบเดินหันหลังออกมา ก่อนที่หัวหน้าจะสังเกตุเห็นน้ำตาที่กำลังจะหยดลงมาอาบแก้ม
พีทกลับมาที่โต๊ะ เห็นกระเช้าใส่ผลไม้ขนาดกระทัดรัดวางอยู่ แต่ข้างๆมีห่อกระดาษมัดโบว์สีน้ำเงินวางข้างๆ
"บอย นี่อะไรว่ะ ใครเอามาวางไว้เนี่ย"
"มึงก็เปิดดูสิว่ะ มีการ์ดเขียนอยู่นั่นไง" บอยยิ้มมีเลศนัยแล้วรีบหันกลับไปหน้าจอเพื่อทำงานต่อ
พีทพลิกการ์ดออกดู
"สุขสันต์วันเกิดนะ จากเพื่อนๆฝ่ายบุคคลจ๊ะ (นิด , ริน, จิ๊บ ) มีรูปหัวใจดวงเล็กที่ด้านบนชื่อรินด้วย
"ริน น้องฝ่ายบุคคลที่วันนั้นจับกลุ่มคุยกันวันนั้นนี่นา" พีทลำดับความคิด
1
เค้าค่อยๆแกะห่อกระดาษออกดู พบเสื้อแจ็คเก็ตตัวใหม่อยู่ในห่อ มีกระดาษโน๊ตอีกใบเขียนไว้ด้านใน
"เอาไว้ใส่นะคะ ^_^"
พีทสับสนเล็กน้อย งงกับของขวัญชิ้นนี้ หันกลับไปข้างๆ เห็นบอยยิ้มกว้างยื่นหน้ามาใกล้
"น้องรินโทรหามึงยัง กูให้เบอร์มึงไปแล้วนะ งานนี้มึงเสร็จแน่ 555 ให้กูเตรียมซองไว้เลยมั้ย"
พีทหน้าแดงจนสังเกตุได้ จริงๆแล้วเค้าก็ได้แค่ส่งยิ้มให้รินทุกเช้าเวลาเดินสวนกันแค่นั้น ไม่คิดหวังอะไรมากนัก แค่นึกในใจว่าน้องคนนี้น่ารักดีก็แค่นั้น เค้ารีบกดหาเบอร์ที่ missed call ไปเมื่อวาน แล้วรีบบันทึกไว้ทันทีในชื่อ " Rin lovely "
ก่อนกลับบ้านวันนี้ เค้าแวะไปที่ห้องฝ่ายบุคคลด้วยสีหน้าแดงเข้ม ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไป
"ขอบคุณทุกคนมากนะครับ" พีทค้อมตัวลงโค้งเกือบคำนับ แล้วรีบลุกลี้ลุกลนเดินกลับออกไปจนเกือบชนประตูเลื่อนกระจก เหลือเพียงหัวเราะคิกคักลอดออกมาเบาๆ พีทรีบเดินจ้ำออกไปพร้อมหัวใจที่เต้นโครมครามแทบจะหลุดออกมา ระหว่างนั่งรถไปโรงพยาบาลเค้าส่ง sms ไปหาเบอร์ริน "ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
"ใส่ให้ดูด้วยนะ ^_^" รินส่งข้อความกลับมา รอยยิ้มกว้างที่แทบไม่เคยเห็นมาหลายปี เกิดขึ้นที่มุมปากพีทอีกครั้ง
"Enlightment"
พีทนั่งกินข้าวกล่องที่แวะซื้อมาหน้าห้อง ICU เหมือนทุกวัน ซักพักมีพยาบาลเดินเข้ามาพบ
"ญาติป้าสาย ใช่มั้ยคะ เข้าไปเยี่ยมได้แล้วนะคะ หมออนุญาติแล้ว อาการคนไข้ดีขึ้นมากแล้ว พูดคุยโต้ตอบได้แล้ว แต่อย่านานมากนะคะ หมอยังอยากให้คนไข้พักผ่อนมากๆอยู่"
"จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ"
พีทรีบเก็บของ แล้วรีบล้างมือหน้าห้องก่อนเปิดประตูเข้าไป
"ยาย ยายเป็นไงบ้างครับ เหนื่อยอยู่มั้ย"พีทเอามือไปโอบรอบมือที่เหี่ยวแห้งของยาย
ยายลืมตาขึ้นช้าๆ "พีทเอ้ย ยายค่อยยังชั่วแล้ว ยายก็นึกว่าเป็นไข้ธรรมดา โธ่...ดันป่วยหนักซะได้ ดูสิ พีทหลานยาย ซูบไปเยอะเลย นอนมั้งหรือเปล่าลูกเอ้ย"
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะมาอยู่เป็นเพื่อนยายได้บ่อยเลยครับ ไว้จะเล่าให้ฟัง ผมว่ายายพักผ่อนก่อนดีกว่านะ หมอสั่งไว้" น้ำตารื้นขึ้นที่หลังแว่นพีทอีกครั้ง
"งั้นกลับบ้านเถอะลูก ยายห่วงบ้าน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมา"
พีทแวะถามอาการยายที่เคาน์เตอร์พยาบาลอีกรอบ ซึ่งพยาบาลแจ้งว่าหมออาจให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้อีกในสองสามวัน หากอาการคงที่ แต่อาจจะต้องทานยาสม่ำเสมอและลดอาหารเค็มจัดลง พีทรับคำแล้วรีบกลับบ้าน
ระหว่างทางเป็นอีกครั้งที่พีทได้ทบทวนเรื่องราวความวุ่นวายที่ผ่านมาสองสามวันนี้ แล้วเค้าก็พบว่า
บางอย่างที่เราเคยคิดว่าแย่ บางทีในความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดเอาเองก็เป็นได้จากชีวิตก่อนหน้าที่เค้าคิดว่ามันห่วย ซ้ำซาก จำเจ จนเกือบเรียกว่าบัดซบ ความจริงแล้วมันคือปาฏิหาริย์ด้วยซ้ำ ลองนึกภาพเช้าของวันใหม่ ที่ตื่นมาแล้วกลับพบว่าไม่มีคนที่เรารักอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครให้เราบอกรัก จับมือ หรือโอบกอดอีกต่อไป นั่นต่างหากคือชีวิตที่เลวร้ายกาจกว่านี้มากนัก
1
พีทนั่งอมยิ้มเล็กๆ ก่อนนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ช่างที่ช่วยให้ชีวิตของเค้า ยังคงกลับไปจำเจ ซ้ำซากเหมือนเมื่อวันวานก่อนหน้านี้
ขอบคุณครับ
ขอบคุณข้อคิดจากรายการทีวีช่องหนึ่ง จำได้เพียงประโยคบางประโยค ที่ทำให้แง่มุมการมองโลกของเราเป็นบวกได้อย่างน่าอัศจรรย์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา