16 พ.ค. 2019 เวลา 14:20 • ประวัติศาสตร์
ยำรวม 2 คดีดังสุดสะพรึง!! - คนกินเนื้อมนุษย์
1
สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน 😊
วันนี้ Red Diary ขอนำเสนอคดีดัง 2 คดีมาให้ติดตามกันนะคะ เรดเชื่อว่า ทุก ๆ ท่านต้องเคยทานซาลาเปากันทุกคนเนอะ แต่คิดว่า คงไม่มีใครเคยได้ทานซาลาเปาเนื้อคน
เอ๊ะ!!หรือว่ามี น๊าา 😲
และเรื่องราวที่จะนำเสนอต่อจากนี้ เรายังคงอยู่ที่เกาะฮ่องกงกันอยู่นะคะ มีอะไรเกิดขึ้นภายในภัตตาคารที่ขึ้นชื่อว่า ซาลาเปาอร่อยนักอร่อยหนา ส่วนผสมเขาคืออะไร แล้วได้ส่วนผสมมาจากไหนกัน เชิญค้นหาคำตอบพร้อมกันได้เลยค่า
มีภัตตาคารอยู่แห่งหนึ่งในฮ่องกง จ.เสฉวน ภาคกลางของจีน ชื่อว่า ภัตตาคารหวังกวง ขึ้นชื่อลือชาว่ามี ซาลาเปารสชาติดีมาก ถูกปากแก่ผู้คนที่ได้รับประทาน ลูกค้าหลั่งไหลเข้าคิวต่อแถวกันซื้อ
โดยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ส่วนที่เด็ดที่สุด คือ ไส้ซาลาเปา เพราะนอกจากตัวซาลาเปาที่นุ่มอร่อยแล้วนั้น ไส้ซาลาเปาที่ถูกปรุงแต่งรสชาติมานั่นแหละ ทำให้ผู้คนติดอกติดใจในซาลาเปาภัตตาคารนี้มาก
แต่ใครเล่าจะรู้ ว่าซาลาเปาสุดแสนจะอร่อย มันมีกรรมวิธี หรือ ผลิตมาจากอะไร ?? นายหวังผู้เป็นเจ้าของภัตตาคาร กุ้มใจมาก ด้วยพิษเศรษฐกิจที่ไม่ดีรุมเร้าเขา ทำให้ยอดขายไม่ดี อีกทั้งยังไม่มีเงินที่จะสามารถซื้อเนื้อหมูชั้นดีมาทำซาลาเปาและติ่มซำได้
นายหวัง เริ่มคิดและหาวิธีการ คิดค้นสูตรที่สามารถหาวัตถุดิบมาแทนเนื้อหมูได้ แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า น้องชายของเขาเป็นสัปเหร่อคอยจัดการศพ
หน้าที่น้องชายของนายหวัง คือ การนำเอาศพของผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีการทางศาสนาแล้วก็นำศพไปฝัง (นายกำลังคิดเหมือนเราหรือเปล่าB1) ถ้าคิดเหมือนกัน นั่นแหละ คุณคิดถูกแล้ว
รูปภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น Pix Cr.Anngle
นายหวังเกิดไอเดียโดยร่วมมือกับน้องชายของเขา ชำแหละศพ (ที่ถูกฝัง) ออกเป็นชิ้น ๆ โดยเขาจะคัดสรรเลือกใช้เนื้อส่วนเอวและแก้มก้น อาจเป็นเพราะว่า มีความนุ่มและมีไขมันใกล้เคียงคล้ายเนื้อหมูมากที่สุด
เมื่อเขาได้ชิ้นเนื้อมาแล้ว ก็นำมาบดและหมักคลุกเคล้าทำเป็นไส้ซาลาเปา แรก ๆ เขาลองขายดู โดยที่แอบกังวลว่า คนจะจับได้มั้ย และ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรบ้าง
1
แต่ปรากฎว่า . . ผู้คนต่างชื่นชอบกันเป็นอย่างมาก ลูกค้ากล่าวว่า ซาลาเปาของเขาช่างหวานหอมนุ่มลิ้นเสียเหลือเกิน ทำให้ภัตตาคารของเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และแน่นอนเมื่อยอดสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น ศพที่เขาตัดชิ้นส่วนนำไปทำซาลาเปาก็เพิ่มตามไปด้วย
รูปภาพจากภาพยนตร์ The Untold Story Pix Cr.สยองสแควร์
แต่ความลับไม่มีในโลก . . .
พ่อแม่ครอบครัวหนึ่งเพิ่งสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักไป นำศพมาทำพิธีกรรมทางศาสนาจนเสร็จสิ้น พ่อแม่ของเขาได้ขอดูศพลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะฝัง
ทันใดนั้น!! เมื่อพ่อและแม่ของศพหญิงสาวต่างเห็นสภาพศพที่ถูกขุดขึ้นมา ก็เป็นลมล้มตึง เมื่อพบว่า สภาพศพของลูกสาวของเขานั้น ถูกเฉือนเนื้อบริเวณเอวและแก้มก้นแหว่งหายไป
ไม่รอช้า เรื่องถึงตำรวจทันที สืบสวนและสาวความไปมาจนพบความจริงที่ทำให้ผู้คนต่างสะอิดสะเอียน เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า เนื้อที่หายไปเป็นฝีมือของนายหวัง เจ้าของภัตตาคารหวังกวง ที่แอบลักลอบศพมาชำแหละเพื่อนำเอาชิ้นเนื้อมาเป็นวัตถุดิบในการทำไส้ซาลาเปา
และซาลาเปาของเขา ก็เป็นที่รู้จักและยอดนิยม ติดลมบนเลยก็ว่าได้ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นข่าวถึงกับวิ่งไปอาเจียนทันที ช่วงที่ข่าวออกไปนั้น ทำให้ชาวฮ่องกง ไม่รับประทานซาลาเปากันอยู่นานเลยทีเดียว เพราะยังฝังใจกับข่าวที่ออกมา ถึงแม้ว่าจะเป็นซาลาเปาเจ้าอื่นที่ไม่ใช่ของนายหวังก็เถอะ
ภาพปกหนัง The Untold Story Pix Cr.Bloggang
ท่านใดที่สนใจเรื่องซาลาเปาเนื้อคน สามารถหาดูได้ตามเว็ปไซต์เลยนะคะ มีพากษ์ไทย มีทั้งเวอร์ชั่นที่โดนตัดออก กับ ตัวเต็ม ซึ่งตัวเต็มโหดมาก ขวัญอ่อน หรือคิดว่าตัวเองดูแล้วจะจิตตก ไม่แนะนำนะคะ
แต่สำหรับใครพร้อมอยากชม ก็สามารถเสริชหาได้เลยจ้า โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อว่า The Untold Story (1993) หรือชื่อไทย ซาลาเปาเนื้อคน จ้า
จะว่าไป นอกจากคดีซาลาเปาเนื้อคนแล้ว ก็มีอีกหลาย ๆ คดีที่ลักษณะคล้ายคลึงกับเรื่องนี้นะ แต่จะขอเล่าอีกหนึ่งคดี ที่น่าสนใจ และที่จะเล่าต่อจากนี้ เป็นคดีที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นค่ะ หลายท่านน่าจะเคยได้ยิน ชื่อเขามาบ้าง "อิสเซะ ซากาวะ" ชายผู้ยืนยันว่า เนื้อมนุษย์อร่อยเหลือเกิน!!
อิสเสะ ซากาวะ เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก เขามีส่วนสูงไม่ถึง 150 ซม. ลักษณะทางกายภาพเขาก็เล็ก แม้แต่เสียงพูดเขา ก็เล็กและแหลม ราวกับเสียงของผู้หญิง ลักษณะท่าทางก็จะดูตุ้งติ้งเหมือนหญิงสาว มากกว่าผู้ชาย
พ่อของเขาเป็นประธานใหญ่ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มคูติระ ในกรุงโตเกียว และได้ขยายสาขาไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยบ้านเราด้วย พ่อของเขาขึ้นชื่อว่า เป็นคนที่รักลูกสุดชีวิตเลยทีเดียว
ซากาวะค่อนข้างจะวิตกกังวลกับร่างกายตนเอง เพราะเขาอ่อนแอมาก เหมือนคนขี้โรค แต่ด้านดีคือเขาเป็นคนที่ฉลาดและเรียนเก่งเอามาก ๆ รวมถึงชื่นชอบวรรณกรรมมาก
เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนทำให้เขาสามารถไปศึกษาต่อทางด้านวิชาวรรณคดีอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยในทวีปยุโรปได้อย่างไม่ยากเย็น
อิสเสะ ซากาวะ Pix Cr.บ้านร้างเรื่องผีและคดีสยองขวัญ
ในปี ค.ศ.1981
ซากาวะได้เข้ารับการศึกษาที่สถาบัน "เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และที่นี่ทำให้เขาได้ตกหลุมรักกับนักศึกษาชาวยุโรป ชื่อ "เรนี ฮาร์เทเวลท์"
ซากาวะพยายามหาทางใกล้ชิดกับเรนี โดยช่วงแรกเขาจ้างวานให้เธอสอนภาษาเยอรมันให้กับเขาด้วยค่าจ้างราคาที่สูงลิบ
และต่อมาได้ใช้ความใกล้ชิด สนิทสนมชวนเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่า ซากาวะ จะตัวเล็กและมีบุคลิกแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันเลย
และช่วงหลัง ๆ เรนีมักจะเริ่มเห็นพฤติกรรมผิดปกติ เขาเริ่มแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เช่น ชอบให้เรนีอ่านวรรณกรรมคลาสสิคให้ฟัง
(ซึ่งเขาจะรู้สึกมีอารมณ์มากเวลาได้ยินเสียงเธออ่านวรรณกรรม) สูดดมเก้าอี้ที่เธอเคยนั่ง รวมถึงใช้ลิ้นเลียตามเก้าอี้ที่เธอนั่ง พร้อมกับบ่น
พรึมพรำ ว่า "เรนี ฉันอยากจะกลืนกินเธอเหลือเกิน!" เรนี เริ่มเห็นพฤติกรรมวิปริตบ่อยมากขึ้น จนเริ่มขยะแขยงตัว ซากาวะ
และแล้ววันนั้นก็มาถึง . . .
วันที่ 11 มิถุนายน ปี ค.ศ.1981
ซากาวะ คลั่งไคล้และหลงรักในตัวเรนีมากเกินไป จนเขาเริ่มทนต่อความรู้สึกตัวเองไม่ได้ เขาออกอุบายได้เชิญชวนเรนีมาร่วมงานวันเกิดครบรอบ อายุ 32 ปี ของเขา
เรนนี ฮาร์เทเวลท์ Pix Cr.South China Morning Post
ทุกอย่างดูเหมือนเป็นใจ งานเลี้ยงฉลองวันเกิดระหว่างเขากับเรนี ดำเนินไปอย่างราบเรียบอย่างที่ควรจะเป็น และตอนนั้นเอง ซากาวะตัดสินใจสารภาพรักกับเรนี และบอกความรู้สึกที่ตนมีต่อเรนนีออกไปอย่างหมดเปลือก หากแต่เรนี กลับตอบปฏิเสธเขาไปว่า เธอคิดกับเขาแบบเพื่อนเท่านั้น
1
เมื่อซากาวะได้ฟังคำตอบ เขานิ่งเงียบไปพักนึง และเดินไปหยิบกวีนิพนธ์ส่งมาให้เธอ และขอให้เธอช่วยอ่านให้ฟัง ซากาวะ นั่งฟังเสียงอ่านของเธออย่างตั้งใจ พร้อมทั้งยังบันทึกเสียงของเธอไว้ด้วย เมื่อซากาวะได้ฟังเสียงของเรนี จนพอใจแล้ว เขาก็ลุกเดินไปทางด้านหลังของเธอ
ปังง !!
สิ้นเสียงนั้น ร่างกายไร้วิญญาณของเรนนีก็หล่นลงจากเก้าอี้จมกองเลือด ซากาวะเดินไปนั่งข้างศพของเรนี พร้อมกับพูดอยู่คนเดียวเหมือนกับคนบ้า ซากาวะลงมือถอดเสื้อผ้าออกจากศพของเรนี่
แล้วเดินไปหยิบมีดอันคมกริบที่อยู่ในครัว
มาเฉือนหัวนมข้างซ้ายของเรนี รวมถึงปลายจมูกของเธอด้วย แล้วนำมาใส่ปาก เคี้ยวกินดิบ ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ซากาวะได้บรรยายไว้ในหนังสือ "ในหมอก" ตอนหนึ่ง ว่า
1
"ข้าพเจ้าเอามือจับเอวเธอแล้วคิดว่าจะกินส่วนไหนก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะ แก้มก้นขวานี้แหละ กร้วมมมม!! ข้าพเจ้าอ้าปากกัดลงไปเต็มที่แต่มันเหนียวมากจนฟันกัดไม่เข้า"
อิสเสะ ซากาวะ Pix Cr.Listverse
เขาได้เล่าต่อเป็นฉาก ๆ ว่า "ข้าพเจ้าใช้มีดจ้วงแทงลงไปที่ร่างของเรนี ไขมันก็ผลุดออกจากบาดแผลที่ฉีกกว้างสีมันเหลืองเหมือนสีเมล็ดข้าวโพดไม่ผิด
1
ข้าพเจ้าดึงออกมาดม ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาวและเหม็นเขียวสักนิด ข้าพเจ้าจึงแล่ลึกเข้าไปจนถึงเนื้อแดง ตัดเป็นชิ้นพอๆ คำใส่ปากเคี้ยวดิบๆ มันละลายในปากรสชาติคล้ายทูน่าทำจากซาซิมิในภัตตาคารไม่มีผิด"
ซากาวะชำแหละศพของเรนีออกเป็นชิ้น ๆ โดยส่วนนึงได้ถูกเก็บไว้สำรองเพื่อกินในมื้อถัดไป และบางส่วนเอาไว้เคี้ยวกินดิบ ๆ โดยอาหารจานแรกที่เขาปรุงอาหาร คือ เมนูเนื้อคนผัดมัสตาร์ด เขาถ่ายรูปศพที่มีสภาพเป็นเศษเนื้อของเธอเอาไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะร่วมรักกับเธอด้วยความหื่นกระหาย
ซากาวะ เล่าความวิปริตของตนเองผ่านหนังสือไว้อย่างมากมาย เช่น เมื่อทุกครั้งที่เขากินอาหาร(ที่ทำมาจากศพของเธอ)เสร็จ
เขาจะนำกางเกงชั้นในของเรนีมาเช็ดปากแทนผ้า และส่วนที่เขาโปรดปรานมาก คือ ส่วนต้นขาของเรนี เขามีความรู้สึกกับชิ้นส่วนของเธอมาก แม้กระทั่งตอนนอนก็ยังลากศพที่มีชิ้นส่วนเป็นเศษ ๆ นำไปนอนด้วย
เช้าวันต่อมา
สิ่งแรกที่เขาทำ ก็คือ การแทะเนื้อจากท้องแขนไปถึงข้อศอก อิสเสะยังไม่หายหิว เขายังคงเชือดอวัยวะในส่วนต่าง ๆ กินต่อไป เว้นแต่ส่วนทวารหนัก เขากล่าวว่า ส่วนนั้นมันส่งกลิ่นแรงสุด ๆ ถึงแม้เขาจะเอามันไปทอดแล้วก็เถอะ เลยจำเป็นต้องทิ้งไป
ชิ้นส่วนที่เขานำมาจัดใส่จาน Pix Cr.Murderpedia
ต่อมาแมลงวันฝูงใหญ่เริ่มแห่กันมาตอมซากศพที่เหลวแหลก เห็นทีเวลาแห่งความสุขสำหรับเขาได้หมดลงแล้ว ซากาวะ เริ่มหาวิธีการที่จะทำลายหลักฐาน
เขาเริ่มนำขวานมาสับร่างเรนีให้เป็นชิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะเอาใส่กระเป๋า
เดินทางใบใหญ่แล้วนำไปทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน เขาจัดการตัดส่วนศีรษะของเรนีออก แล้วขยุ้มหัวของเธอมาวางไว้ตรงหน้าเขา ซากาวะ บรรยายว่า
2
"หลังจากที่เขาตัดหัวเธอออก เขาก็หยิบหัวเธอมาวางที่โต๊ะ พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และตอนนั้นแหละที่เขาได้ประจักษ์ว่าตนเองคือมนุษย์กินคนที่แท้จริง"
เมื่อเขาชื่นชมผลงานของตนเองเสร็จ ก็รีบนำชิ้นส่วนของเรนียัดลงกระเป๋าเดินทางแล้วลากลงจากอพาร์ทเมนต์เรียกแท็กซี่ จุดหมายปลายทางของเขาคือ บัวส์ เดอ บูโลญจน์ เขาลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในสวนสาธารณะกะว่าจะหย่อนลงในสระน้ำ
1
หากแต่กระเป๋าก็ใบใหญ่มากยากแก่การเคลื่อนย้าย เขาจึงตัดสินใจทิ้งกระเป๋าแล้วรีบหนีออกไปจากตรงนั้นทันที
ไม่นานหลังจากนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหมายค้น ได้ทำการบุกที่ห้องพักของอิสเสะหลังจากพบศพของเรนี ตำรวจทำการตรวจสอบค้นทั่วห้อง และมาพบกับตู้เย็นที่มีคราบเลือดไหลแห้ง และเมื่อเปิดออกมาถึงกับผงะกัน เพราะภายในตู้เย็นมีแต่ชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกแล่ไว้อย่างสยดสยอง และพบว่าเลือดถูกละเลงอยู่เต็มตู้เย็นอีกด้วย
จับกุมอิสเสะ ซากาวะ Pix Cr.khaw-dwn.blogspot
ซากาวะ ยอมรับพร้อมรอยยิ้มและสารภาพความจริงทั้งหมด พร้อมเผยรายละเอียดการฆาตกรรมเรนีอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
ทั้งยังสารภาพกับตำรวจด้วยว่าเขามีอาการป่วยทางจิตแต่ไม่ได้ทำการรักษาอย่างจริงๆจังๆ
มาก่อนที่จะมาเรียนที่ฝรั่งเศส ก่อนที่จะเชิญชวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้รับประทานอาหารเมนูสุดสยอง (ที่ทำจากเนื้อคน) ด้วยฝีมือของเขาเองอีกด้วย
2
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นอาการเช่นนั้นของ
ซากาวะ ก็ลงความเห็น ว่า ที่เขาได้ลงมือ
ฆาตกรรมเรนีไปนั้น เป็นอาการวิกลจริตอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยพฤติกรรมอันโหดร้ายป่าเถื่อนที่เขาได้ทำลงไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเขาจะถูกจำคุกหรือลงโทษประหารชีวิต
แต่..เขากลับหลุดจากคดีฆาตกรรมและข้อกล่าวหาทั้งหมดเนื่องจากเขาได้รับการตัดสินโดยไม่ต้องเปิดศาลพิจารณาคดี เพราะเห็นได้ชัดว่า เขาเป็นบุคคลที่สภาพจิตไม่สมประกอบอย่างแน่นอน มีคนจำนานมากเชื่อกันว่า ซากาวะ ไม่ใช่คนบ้าและสมควรได้รับการลงโทษอย่างหนัก
Pix Cr.Aminoapps
ด้วยความพยายามของผู้เป็นพ่อที่วิ่งเต้นว่าจ้างทนายเก่ง ๆ ของฝรั่งเศส ทำให้ ซากาวะได้รับการปล่อยตัว ในเดือน สิงหาคมปี ค.ศ.1985 หลังจากที่ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลเพียงแค่ 15 เดือนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ซากาวะ ยังคงต้องอยู่ในการดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด ไปอีก 5 ปีต่อมา
ปัจจุบัน ซากาวะมีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก ชีวิตของเขาอยู่ในความสนใจของสื่อต่าง ๆ ส่วนสาธารณะชนแทนที่จะประณามเขากับยกย่องและตั้งฉายาให้เขาว่า "บิดาแห่งการกินคน" ซึ่ง ซากาวะ รู้สึกพึงพอใจกับฉายานี้มาก
นอกจากนั้น ซากาวะยังได้ออกรายการทอร์ค โชว์เพื่อพูดถึงประสบการณ์กินคนและได้แสดงภาพยนตร์ลามกที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง
เขาใช้เวลาว่างทำงานเขียนออกมาถึง 4 เล่ม โดยเขียนเรื่องราวของการฆ่าหั่นศพของเรนี สามารถขายได้ถึง 200,000 เล่มเลยทีเดียว
pix Cr.dekd
รวมถึงศิลปิน วงโรลริ่ง สโตน ได้แต่งเพลงชื่อ "เลือดท่วม" โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องกินคนของซากาวะ นอกจากนี้เรื่องราวของเขายังได้ดัดแปลงเป็นการ์ตูน และถ่ายปกเปลือยให้ร้านอาหารชื่อดังในญี่ปุ่น
รวมถึงเปิดเว็บไซท์ของตัวเอง ให้คนเยี่ยมชมว่าการกินเนื้อคนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ
เดียดฉันท์แต่อย่างใด พร้อมให้คนไปเยี่ยมชมภาพเขียนรูปก้นของสตรียุโรปให้ดูอย่างเป็นศิลปะ !! ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ทำให้พ่อของ ซากาวะ มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวของลูกชายคนนี้มาก
ต่อมาเขาก็ค่อย ๆ สูญเสียงานที่มีไปเรื่อย ๆ เพราะเรื่องเดิม ๆ ก็ใช่ว่าจะขายได้ตลอดไป พอเข้าช่วงปี ค.ศ. 2000
1
เขาก็ไม่มีงานเป็นหลักแหล่งรวมถึผลาญเงินที่มีจนเป็นหนี้สิน
หลังจากนั้นเพียง 5 ปี (ปี ค.ศ.2005) พ่อของเขาเสียชีวิตลงและแม่ของเขาก็ได้ฆ่าตัวตายตามไปในวันถัดมา เขาถูกห้ามไม่ให้ไปร่วมงานศพ แต่ก็ได้รับมรดกจากพ่อแม่มาล้างหนี้ได้
หลังจากนั้นเขาพยายามเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม แต่ก็ไม่มีใครตีพิมพ์ เขาพยายามหางานประจำทำ หากแต่ก็ไม่มีใครรับเข้าทำงานเลย เขาอาศัยเงินเลี้ยงดูของรัฐ แต่ก็ยังมีการเชิญตัวเขาไปสัมภาษณ์ในรายการต่าง ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ
Pix Cr.teenee
ซากาวะ กล่าวว่า การที่เขาต้องหากินด้วยการอาศัยชื่อการเป็นมนุษย์กินคนก็ถือว่า เป็นการลงทัณฑ์เขาแล้ว เขาได้รับความทรมานมากพอแล้ว เหมือนตายทั้งเป็น
ทุกครั้งที่เขาเอาตัวรอดมาได้ด้วยอำนาจเงินของครอบครัว เขากลายเป็นที่รู้จักและหากินกับอาชญากรรมที่เขาก่อโดยที่เหยื่อไม่ได้รับความยุติธรรม จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เขาได้รับผลของการกระทำแล้วหรือยังนะ ?? และปัจจุบัน อิสเสะ ซากาวะ ยังมีชีวิตอยู่ด้วยวัย 70 ปี แล้วนั่นเอง
2
Pix Cr.horrorclub
หากท่านใดชื่นชอบบทความนี้ กดไลค์ กดแชร์ และกด Follow เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเราด้วยนะคะ เรายินดีจะนำบทความดี ๆ ที่น่าสนใจมานำเสนอแก่ทุก ๆ ท่านค่า ขอบคุณค่ะ ❤ 😁
Cr.teenee , เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ , mgronline , บ้านร้างเรื่องผีและคดีสยองขวัญ , YT BiRdY CH , The Matter
เรียบเรียง : Red Diary ❤
โฆษณา