22 พ.ค. 2019 เวลา 06:38 • ประวัติศาสตร์
ตำนานผ้าห่อพระศพแห่งตูริน (The Shroud of Turin)
สวัสดีครับ ผ้าห่อพระศพแห่งตูรินคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชั้น First Class Relics อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญต่อความเชื่อ ความศรัทธาของคริสต์ศาสนิกชนเป็นอย่างมาก
เพราะมันคือผ้าลินินที่รองรับพระศพของพระเยซูลงจากไม้กางเขน และโอบร่างของท่านเป็นอาภรณ์ชั่วคราวในระยะเวลา 3 วัน ก่อนที่พระเยซูจะฟื้นคืนชีพและเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์
วันนี้เราจะมาย่อยทุกแง่มุมของผ้าห่อพระศพแห่งตูริน ตั้งแต่ความเป็นมา และการเดินทางผ่านกาลเวลากันครับ
ณ ภูเขาโกลโกธา หลังจากที่ทหารโรมันตอกตะปูตรึงพระเยซูเข้ากับไม้กางเขน และใช้เชือกดึงให้ไม้กางเขนตั้งขึ้นในเวลาที่เรียกกันว่า Third Hour หรือ 9 โมงเช้า มีบุคคลหนึ่งที่กำลังวิ่งเต้นอยู่หลังฉากแข่งกับเวลาอย่างรีบเร่ง เขาคือ Joseph Of Arimathea (โยเซฟชาวอะริมาเธีย)
Joseph ผู้นี้เป็นใครกัน พระวรสารของนักบุญมาระโกกล่าวไว้ว่าเขาคือ "สมาชิกสภาผู้เป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย และเป็นผู้ที่เชื่อในแผ่นดินของพระเจ้า" Joseph ขอเข้าพบ Pontius Pilate (พอนตัส พิลาต) ผู้ว่าการรัฐที่รับผิดชอบการประหารชีวิตพระเยซูเพื่อขอรับพระศพของพระเยซูหลังจากท่านสิ้นพระชนม์
หลังจากได้รับอนุญาตให้รับพระศพไปได้ตามประสงค์ Joseph จึงไปซื้อผ้าลินินอย่างดีในตลาดและรีบรุดไปภูเขาโกลโกธา เมื่อเห็นว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว เขาและผู้ช่วยคนหนึ่งชื่อ Nicodemus (นิโคเดมัส) ก็เริ่มตระเตรียมการฝังพระศพทันที
เริ่มจากการนำเครื่องหอมมาพรม พันพระศพด้วยผ้าลินินอย่างดี และเคลื่อนพระศพไปที่สุสานอุโมงค์หินใหม่ที่ยังไม่เคยถูกใช้มาก่อนไม่ไกลจากภูเขาโกลโกธา หลังจากที่เลื่อนหินปิดปากอุโมงค์ Joseph ก็ส่งคนไปขอทหารยามจาก Pilate เพื่อมาเฝ้าไม่ให้ผู้ใดขโมยพระศพ
เข้าวันที่ 3 หลังจากฝังพระศพ มีผู้เดินทางไปเยี่ยมหลุมศพ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าพระศพของพระเยซูนั้นไม่อยู่เสียแล้ว โดยทูตสวรรค์ได้กล่าวแก่พวกเธอว่า "พระเยซูบัดนี้ได้ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว จงไปบอกเหล่าสาวกให้ไปพบกับท่านได้ที่แคว้นกาลิลี"
ในอุโมงค์ฝังพระศพตอนนี้คงเหลือเพียงผ้าคลุมพระศพอันว่างเปล่าและเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเท่านั้น...
หลังจากนั้น 3 ปี ในค.ศ. 36 สาวกคนหนึ่งของพระเยซูชื่อว่า Thaddeus (ทัดเดอัส) ออกเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองทางตอนเหนือไกลออกไป 400 ไมล์ ชื่อเมือง Edessa
Thaddeus เดินทางไปครั้งนี้ ก็เพื่อรักษาเจ้าเมืองชื่อ Abgar ที่ 5 ที่ครั้งหนึ่งเคยได้พบปะกับพระศาสดาของตน และเพื่อเผยแพร่คริสต์ศาสนาไปด้วยในตัว สิ่งที่ Thaddeus นำติดตัวไปด้วยก็คือ
ผ้าลินินผืนใหญ่ กว้าง 110 ซม. ยาว 440 ซม. และมีคราบที่พอเพ่งดูใกล้ๆแล้ว ลักษณะคล้ายรอยประทับของใบหน้าคน!
ด้วยความที่มันสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูโดยตรง ทำให้ตามตำนานกล่าวไว้ว่าผู้ที่ครอบครองผ้าห่อพระศพนี้จะมีชีวิตที่สุขสงบและปลอดภัย หากป่วยเป็นโรคหรือมีบาดแผลใดๆ เพียงแค่สัมผัสผ้านี้และอธิษฐานในใจ อาการเจ็บป่วยก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อพระเจ้า Abgar ที่ 5 ทอดพระเนตร ก็รู้ทันทีว่ามันคือผ้าห่อพระศพของพระเยซูที่ถูกใช้งานเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังจากที่ท่านอธิษฐานและรักษาตัวเองจนหายดี ท่านจึงมีบัญชาให้เก็บรักษาผ้าพ่อพระศพไว้ที่นี่ และขนานนามว่า The Shroud of Edessa (ผ้าห่อพระศพแห่งเอเดสซา)
หลังจากที่พระเจ้า Abgar ที่ 5 สิ้นพระชนม์ไปในปี ค.ศ. 50 ลูกชายของเขาที่เป็นพวกนอกศาสนาก็ขึ้นครองราชย์ และเริ่มทำการกวาดล้างชาวคริสเตียนอย่างดุเดือด ตอนนี้เองที่ผ้าห่อพระศพได้ถูกนำไปซ่อนไว้ในกำแพงเมืองด้วยความหวังว่ามันจะอยู่รอดไปถึงคนรุ่นหลัง
ในปี 550 กว่า 500 ปีหลังการสิ้นพระชนม์ มีผู้ค้นพบบันทึกการฝังพระศพของพระเยซูที่ Joseph เขียนไว้ นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกเกี่ยวกับผ้าห่อพระศพ
ผ้าห่อพระศพถูกเก็บซ่อนไว้ในกำแพงเมืองเป็นเวลา 896 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 944 จักรพรรดิโรมันนาม Romanus ได้กรีธาทัพเข้ายึดเมือง Edessa และพลิกแผ่นดินหาผ้าห่อพระศพ จนกระทั่งพบที่ประตูเมืองฝั่งตะวันตก Romanus จึงนำผ้าห่อพระศพกลับไปพำนักไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
เมื่อก่อนเวลาเก็บรักษาผ้าห่อพระศพ จะทำการพับผ้าผืนใหญ่จนกลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเอาด้านที่มีรอยใบหน้าหงายขึ้นโชว์ นั่นอาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมรอยต่างๆนั้นดูแปลกๆและมีหลายเหลี่ยมครับ
ผ้าห่อพระศพเมื่อไปอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล วันดีคืนดีทางการก็จะนำออกมาคลี่โชว์ให้คนทั่วไปเข้ามาชมกัน จนกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองไป และแน่นอนวันหนึ่งมันก็นำภัยมาสู่นครแห่งนี้
ในปี 1307 กองทัพอัศวินครูเสดบุกเข้าตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลจนแตก และฉกฉวยของมีค่าไปประดับบารมีตนจนหมดสิ้น ลือกันหนาหูว่าผ้าห่อพระศพตกไปอยู่ในมือของอัศวินเทมพลาร์คนหนึ่ง แม้ว่าจะมีการสืบหากันอย่างหนัก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่
จนกระทั่งในปี 1354 ถึงได้รู้กันว่า ผ้าห่อพระศพนั้นไปตกอยู่ในมือของอัศวินคนดัง นามว่า Geoffry De Charny หลังจากที่เขาตาย ครอบครัวที่ขาดผู้นำก็ค่อยๆยากจนลง จนภรรยาเขาต้องเอาผ้าห่อพระศพออกมาขาย และผู้ที่ได้ไปก็คือ ตระกูล Savoy (ซาวอย) ที่มีชื่อเสียงในยุโรปยุคกลาง
หลังจากเก็บรักษามากว่า 200 ปี ต่อมาตระกูล Savoy ได้ส่งผ้าห่อพระศพนี้ไปเก็บไว้ที่โบสถ์ Chapel of Chambery ประเทศอังกฤษ ก่อนที่ในปี 1578 ผ้าห่อพระศพจะถูกส่งไปที่นครตูริน ประเทศอิตาลี
และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อ "ผ้าห่อพระศพแห่งตูริน" ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์ Chapel of the Holy Shroud จวบจนปัจจุบันครับ
นับเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกชิ้นหนึ่งที่เปลี่ยนมือผู้รักษามามากหน้าหลายตานะครับ ปัจจุบันก็ยังมีการถกเถียงกันว่าผ้าห่อพระศพนี้ ใช่อันที่ห่อร่างพระเยซูเมื่อสองพันกว่าปีก่อนจริงๆไหม แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
สำหรับผม สิ่งที่สำคัญของเรื่องราวผ้าห่อพระศพนี้ ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์หรือความแท้ไม่แท้ของมัน หากแต่เป็นเครื่องระลึกถึงความเจ็บปวดและความอดทนของพระคริสต์ที่ทรงทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ครับ
นี่เป็นบทความแรกของเพจ ย่อยประวัติ ลงใน Blockdit เลยครับ ปกติแล้วผมจะเขียนประจำอยู่ที่เพจ facebook ย่อยประวัติ ตอนนี้ก็สามารถติดตามอ่านได้ทั้งสองช่องทางเลย ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ :)
เกร็ดเล็ก: ในปี 1532 ในขณะที่ผ้าห่อพระศพพำนักอยู่ในอังกฤษ เกิดไฟไหม้โบสถ์ Chapel of Chambery ครั้งใหญ่ ผ้าห่อพระศพที่ขณะนั้นถูกบรรจุอยู่ในโถที่ทำด้วยเงินถูกไฟลนจนโถละลายติดไปกับผ้าบางส่วน เกิดเป็นรอยที่เห็นเด่นชัดมาจนตอนนี้
เกร็ดน้อย: การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ครั้งล่าสุดโดย Dr. Matteo Borrini แห่งมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลจอห์นมัวร์ของอังกฤษ มีข้อสังเกตุว่า รอยคราบเลือดหลายแห่งบนผ้าห่อพระศพนั้นไม่สอดคล้องกับหลักกายวิภาคศาสตร์ โดยท่านได้กล่าวไว้บางตอนดังนี้
"รอยเลือดที่เห็นตรงส่วนที่เป็นแขนซ้ายของผ้าห่อพระศพนั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อกางแขนออกจากลำตัว 80-100 องศาเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ท่าทางในการห่อศพที่มักจะกระทำกันแบบหุบแขน"
แต่ก็ยังไม่สามารถลงข้อสรุปได้ เพราะมีข้อโต้แย้งว่ารอยเลือดประหลาดที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะการนำผ้าติดตัวไปที่ต่างๆ จนเกิดรอยจากการเดินทาง ทำให้ผ้าห่อพระศพแห่งตูรินยังคงเป็นปริศนาที่แก้ไม่ตกมาจนถึงทุกวันนี้.
- Xyclopz
#History #Shroudofturin #ประวัติศาสตร์ #ผ้าห่อพระศพแห่งตูริน #พระเยซู #ผ้าห่อศพ
โฆษณา