23 พ.ค. 2019 เวลา 12:00 • บันเทิง
ฟังไปแล้ว - อัลบัม Shine a Light งานใหม่ของรุ่นใหญ่แหบเสน่ห์ ไบรอัน อดัมส์
​เคยเป็นหัวแถวของวงการเพลงช่วงกลางยุค 80 ถึงต้นยุค 90 ด้วยงานแบบอเมริกันร็อค ที่หลายๆ คนมองว่าเป็นบรูซ สปริงสทีนฉบับจูเนียร์ มีเพลงฮิตๆ อย่าง "Straight from the Heart”, ”Run to You”, “Heaven”, "Summer of ’69”, “Please Forgive Me” แต่ที่ดังระเบิดเทิดเถิง ส่งให้ไบรอัน อดัมส์ เจ้าของเสียงร้องที่แหบเสน่ห์อีกคนของวงการ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกก็คงไม่พ้น “(Everything I Do) I Do It for You” เพลงประกอบหนัง Robin Hood: Prince of Thieves แล้วก็ “All for Love” จากหนัง The Three Musketeers ซึ่งเขาร้องกับอีกสองแหบรุ่นใหญ่ ร็อด สจวร์ท และสติง
​หลังผ่านยุคทอง อดัมส์ยังมีผลงานออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีเพลงฮิตในระดับเดียวกับที่เคยทำได้ แถมบางชุดก็เหมือนเป็นงานตามกระแสด้วยซ้ำ โดยเฉพาะงานช่วงต้นๆ ถึงกลางยุค 90 ที่มีความเป็นอัลเทอร์เนถีฟในตัว แต่พอเข้ายุค 2000 เขาก็จับงานช่างภาพสลับออกอัลบัมเดินสายทัวร์ มีผลงานเป็นปกอัลบัมให้ศิลปิน อย่าง เอมี ไวน์เฮาส์
​Shine a Light อัลบัมชุดใหม่ของอดัมส์ในวัยที่จะเข้าแซยิด เป็นงานชุดที่ 14 ของเขาแล้ว หลังจากปล่อยงานที่น่าผิดหวังมาหลายต่อหลายชุด กับอัลบัมชุดนี้น่าจะเป็นงานที่แฟนๆ รักได้ไม่ยาก เพราะอดัมส์เลือกจะเดินไปในเส้นทางดนตรีที่หลายๆ คนคุ้นเคย เป็นงานอเมริกันร็อค ที่มีความเป็นป็อปในตัว โดยเติมสำเนียงดนตรีหรือซาวนด์ใหม่ๆ ที่เป็นสัมผัสของงานในยุคนี้ ผสมผสานกับรากเหง้าเดิมๆ ของเพลงในแบบไบรอัน อดัมส์ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
​“Shine a Light” เพลงที่กลายเป็นชื่อชุด อดัมส์ได้เอ็ด ชีแรน ศิลปินรุ่นน้องมาร่วมแต่ง ซึ่งจากที่ได้ยินก็ต้องบอกว่า เป็นเพลงเปิดอัลบัมที่น่าสนใจ กับการเป็นงานร็อคที่มีเซนส์ป็อปจัดๆ ในทางของเจ้าตัวที่แฟนๆ ที่ปรุงเสน่ห์ด้วยจังหวะจะโคนที่ทำให้นึกถึงงานในแบบเคลท์ผสม อย่าง เพลงของ The Corrs หรือกระทั่งเอ็ด ชีแรนในบางเพลง รวมถึงเสียงกีตาร์อะคูสติกใสๆ ที่รองพื้นได้อย่างกลมกลืน หากที่เด่นที่สุดก็คงไม่พ้นท่อนฮุคที่ไม่ใช่แค่ติด หากถึงกับวนเวียนอยู่ในหัว
​นอกจากงานในทางอเมริกันร็อค ที่มีความเป็นป็อปในตัวสูงปรี๊ด เพลงอย่าง “That’s How Strong Our Love Is” ที่อดัมส์ร้องกับเจนนิเฟอร์ โลเปซ ก็ปรับเปลี่ยนรายละเอียดของดนตรี ด้วยอิทธิพลงานอาร์แอนด์บี ไม่ว่าจะเป็นการร้องประสาน บีทที่ใช้ลูปเป็นหลัก ซึ่งมีโทนไม่ต่างไปจากเพลงป็อปในยุคนี้ รวมถึงฟังแปลกหูและต่างไปจากเพลงอื่นๆ ในอัลบัม แต่ในแง่ความเป็นป็อปแล้ว เพลงนี้ ‘ได้’ และถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ถือว่าเป็นสีสันใหม่ๆ ในงานของอดัมส์ แม้จะไม่ลงตัวนักในภาพรวมของอัลบัม
​หากไม่นับ “That’s How Strong Our Love Is” หรือถือว่าเป็นเพลงพิเศษไปซะ กับเพลงอื่นๆ ในงานชุดนี้ ก็คือเพลงในแบบของไบรอัน อดัมส์ ที่เคยทำให้หลายๆ คนสนุกด้วยได้ไม่ยากทั้งนั้น “Part Friday Night, Part Sunday Morning” ก็คือร็อคสนุกๆ ที่เข้ากับเสียงแหบๆ ของอดัมส์เป็นที่สุด, “Driving Under The Influence Of Love” ขยับเป็นร็อคที่เหมาะมากกับการเปิดในบาร์ซาลูน เมื่อมีสำเนียงของดนตรีคันทรี-ร็อคใส่เข้ามาเต็มๆ, “All Or Nothing” ร็อคเก๋าๆ ที่ได้เสียงริฟฟ์กีตาร์ที่เก่าไม่แพ้กันเล่นหยอดเป็นระยะๆ ท่อนฮุค เมโลดีก็ติดหูเหลือเกิน, “No Time For Love” แสดงถึงอิทธิพลของ The Beatles ในยุคแรกๆ ชัดเจน, “Talk to Me” งานบัลลาดช้าๆ ในบรรยากาศงานป็อปยุค 70 ไม่ว่าจะเป็นทางของเมโลดี และซาวนด์ที่ฟังฟุ้งๆ ล่องลอย, “The Last Night On Earth” ป็อป-ร็อคสนุกๆ เหมาะกับเปิดในปาร์ตีคืนสุดท้ายบนโลกอย่างที่ชื่อเพลงเป็น โดยมีซาวนด์กีตาร์แบบทแวง เป็นเสียงสะกิดหู ส่วน “Nobody’s Girl” ก็มาในอารมณ์ “Summer of ’69” เพลงเก่าของอดัมส์ ก่อนจะปรับเป็นคันทรี-ร็อคจังหวะกลางๆ ใน “Don’t Look Back” แล้วก็ปิดท้ายด้วยงานอะคูสติก-ร็อค “Whiskey In The Jar” ในแบบผ่อนอารมณ์จากพีคมาจบได้พอดิบพอดี
​โดยทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำให้นึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่บทเพลงของไบรอัน อดัมส์เคยสร้างความสุขให้ แต่ด้วยความสดใหม่บางอย่างในเนื้องาน ที่ใส่เข้ามาและผสมผสานกับตัวตนที่เป็นของเขาได้อย่างลงตัว และน่าพอใจ
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง Shine a Light งานใหม่
ของรุ่นใหญ่แหบเสน่ห์ ไบรอัน อดัมส์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ 8 มีนาคม 2562
ฟังไปแล้ว - IN STEREO งานชุดแรกในรอบทศวรรษของเกิร์ลกรุป ระดับตำนานจากยุค 80 Bananarama กลับมาสมราคาไหม ต้องอ่าน >> https://www.blockdit.com/articles/5cd3239bc41f081ed42d6320
อ่านเแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด่วยกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos
โฆษณา