เรื่องเล่าเข้าใจง่าย กรณี “ซิสโก้ปะทะหัวเว่ย”
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2002 หลังจากหัวเว่ยพยายามยกพลขึ้นบกที่อเมริกามาได้ระยะหนึ่ง แล้วนำสินค้าไปเปิดตัวในงานแสดงสินค้าโทรคมนาคมที่แอตแลนติก
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บริหารระดับสูงหลายคนของซิสโก้ก็นัดพบเหรินเจิ้งเฟย, กัวผิง ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ยที่โรงแรมแชงการีลาในเซินเจิ้น
และแจ้งว่าหัวเว่ยละเมิดสิทธิทางปัญญาของซิสโก้ และขอให้หัวเว่ยยอมรับว่าละเมิด ชดใช้ และหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์
เหรินเจิ้งเฟยและทีมงานปฏิเสธอย่างแข็งขัน และยินดีให้ซิสโก้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ แต่การพูดคุยไม่เป็นผล
จนกระทั่ง 23 มกราคม 2003 ซึ่งเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ชาวจีนทั่วประเทศต่างทยอยกันหยุดงาน ซิสโก้กลับยื่นฟ้องต่อศาลในรัฐเทกซัส ระบุว่าหัวเว่ยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้ารวมทั้งสิ้น 21 ข้อกล่าวหา และเรียกร้องต่อศาลให้หัวเว่ยชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ซึ่งรวม ๆ แล้วน่าจะเป็นตัวเลขทางดาราศาสตร์ที่ประมาณค่าไม่ได้เลยทีเดียว
หลังจากทราบข่าวเหรินเจิ้งเฟยและทีมผู้บริหารต่างบินกลับมารวมตัวกันที่เซินเจิ้นทันที เทศกาลตรุษจีนครั้งนั้นจึงกลายเป็นเรื่องโกลาหล
เพราะหัวเว่ยรู้ดีว่าถ้าพวกเขาแพ้คดีครั้งนี้จะกลายเป็นมลทินที่ไม่มีวันลบล้างได้ และกระแสเงินสดของหัวเว่ยตอนนั้นยังเปราะบางมาก ไม่มีทางที่จะจ่ายให้ซิสโก้ตามที่เรียกร้องได้เลย
หลังจากปรึกษากันอยู่หลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า สงครามครั้งนี้พวกเขาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าต้องการชนะต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้
เหรินเจิ้งเฟยแต่งตั้งให้กัวผิง เป็นผู้รับผิดชอบด้านคดีความ และระดมเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านทรัพย์สินทางปัญญา ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ จัดตั้งเป็นคณะแก้ต่างเดินทางไปอเมริกา
ก่อนเดินทางเหรินเจิ้งเฟยกำชับกัวผิงว่า
"คุณต้องยอมกล้ำกลืนความอัปยศแม้ต้องลอดใต้หว่างขาพวกเขา แต่ต้องยืดตัวกลับมาให้ได้"
ที่อเมริกาข่าวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่สื่อต่าง ๆ พากันตีพิมพ์เรื่องราวการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของหัวเว่ยอย่างละเอียดยิบ และเตือนว่าอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะตามมา
ส่วนสื่อในจีนก็พากันตีพิมพ์เหตุการณ์นี้ว่าเป็นเกมทางการค้าของซิสโก้กับหัวเว่ย และบอกว่าซิสโก้มีเจตนาแฝงเร้นในการโจมตีหัวเว่ยครั้งนี้
ในขณะเดียวกันหัวเว่ยก็เชิญคณะทนายความจากเฮลเลอร์ซึ่งมีชื่อเสียงด้านทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐมาเยี่ยมชมฐานการผลิตและฐานการวิจัยของหัวเว่ย
หลังจากตรวจสอบแล้ว โรเบิร์ต แฮลแลม สุดยอดทนายความด้านสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาก็ยอมว่าความให้ จนทำให้คดีความครั้งนี้เกิดการพลิกผัน
ขณะเดียวกันหัวเว่ยก็เชิญ ศาสตราจารย์เดนนิส เอลลิสัน อาจารย์ด้านการสื่อสารดิจิตัลมายังหัวเว่ยเพื่อทำการวิเคราะห์แพลตฟอร์ม IOS กับ VRP ทั้งเก่าและใหม่ของซิสโก้กับหัวเว่ย
ศาสตราจารย์เดนนิส สรุปว่าแพลตฟอร์ม VRP ของหัวเว่ยมีรหัสต้นฉบับสองล้านบรรทัด ส่วน IOS ของซิสโก้มียี่สิบล้านบรรทัด และนำรายงานนี้ยื่นต่อศาลซึ่งทำให้คณะลูกขุนต่างตกใจ
นอกจากนั้น บรูซ คลาฟลิน ประธานของบริษัททรีคอมซึ่งเคยเดินทางไปเยือนหัวเว่ยหลายครั้ง และเคยรับรองงานด้านเทคนิคให้หัวเว่ย ยังให้การเป็นพยานในศาลเพื่อรับรองในความบริสุทธิ์ของหัวเว่ย
ความจริงงานนี้ซิสโก้มั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถหยุดยั้งหัวเว่ยได้ แต่เมื่อศาลเปิดการพิจารณาคดีพวกเขากลับรับมือกับกระบวนท่าของหัวเว่ยไม่ทัน และรับรู้ว่าหัวเว่ยไม่ใช่หมูที่พวกเขาจะจัดการได้อย่างง่ายดาย
แม้การพิจารณาคดีในศาลจะดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่นอกศาลต่างฝ่ายต่างเริ่มเจรจากัน จนวันที่ 7 มิถุนายน 2003 ศาลก็พิพากษายกคำร้องกรณีที่ซิสโก้เรียกร้องให้หัวเว่ยหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ส่วนเรื่องการพิจารณา Source Code ต้องรอการตรวจสอบ
ภายใต้การกำกับดูแลของทนายทั้งสองฝ่าย สุดท้ายหัวเว่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ และซิสโก้เซ็นสัญญาประนีประนอมในวันที่ 28 กรกฎาคม 2004 คดีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างซิสโก้และหัวเว่ยจึงจบลง และทั้งสองฝ่ายจับมือคืนดีกัน
หัวเว่ยรู้ดีว่าการที่ซิสโก้ฟ้องร้องหัวเว่ยในครั้งนี้คงต้องการหยุดยั้งหัวเว่ยในการยกพลขึ้นบกที่อเมริกา แต่หัวเว่ยก็พยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยวิธีสากลในศาลของอเมริกาเอง
สุดท้ายกัวผิงก็นำคณะทำงานเดินทางกลับจีนตามคำกำชับของเหรินเจิ้งเฟยที่ว่า “คุณต้องยอมกล้ำกลืนความอัปยศแม้ต้องลอดใต้หว่างขาพวกเขา แต่ต้องยืดตัวกลับมาให้ได้”
แต่ก้าวย่างของหัวเว่ยในดินแดนอินทรีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขายังต้องเผชิญมรสุมครั้งใหญ่อีกหลายครั้งและครั้งนี้นับว่าหนักหนาสาหัสที่สุด ต้องคอยดูกระบวนท่าของหัวเว่ยต่อไปว่าพวกเขาจะตอบโต้อย่างไร
#pordee
Ref. : หัวเว่ย จากมดสู่มังกร
- 85
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
