25 พ.ค. 2019 เวลา 07:23 • บันเทิง
Punk Talk #3: Punk X Skinhead X Nazi / ความเชื่อมโยงที่อันตราย
★ บทนำ ★
ถ้าใครที่กำลังติดตามข่าวสารเกี่ยวกับคอนเสิร์ตอยู่ คงรู้ว่าต้นเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ มีวงพังค์จากเดนมาร์กที่ชื่อ Iceage กำลังจะมาแสดงที่ไทย (รายละเอียด: https://www.facebook.com/events/310982849580380/) โดยวงนี้เป็นที่พูดถึงในเรื่องของการถ่ายทอด "ความรู้สึก" แบบพังค์ยุคเก่าๆซึ่งสิ่งนี้ก็การันตีโดยรุ่นใหญ่อย่าง Iggy Pop เองที่เคยพูดถึงวงดนตรีวงนี้ว่า "เป็นไม่กี่วงในยุคปัจจุบันที่ให้ความรู้สึกอันตรายเหมือนวงยุคเก่าๆ"
และที่ยกวงนี้มาพูดถึงในหัวข้อนี้ ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า แม้ในยุคนี้ "พังค์กับนาซี" ก็เป็นสิ่งที่มักถูกยกขึ้นมาพูดถึงพร้อมๆกันอยู่เสมอ โดยวง Iceage นี้เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นนาซีจากหลายๆปัจจัย ตั้งแต่ภาพวาดสวัสดิกะในสมุดโน้ตของนักร้องนำ, มีคนที่ใส่ชุดของ KKK ในเอ็มวี ซึ่งถ้ามองจากมุมมองของคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับวงดนตรีพังค์ซักเท่าไหร่ มันก็ชวนให้คิดไปในทางนั้นจริงๆ
ส่วนความเป็นจริงนั้น ตัวตนของคนในวง Iceage กลับกลายเป็นขั้วตรงข้ามกับนาซีโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่มือกลองที่เป็นชาวยิว รวมถึงนักร้องนำที่โอบรับภาพลักษณ์ของความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มที่ (นาซีจะไม่ชอบพวกรักร่วมเพศ) ถ้างั้นทำไมวงนี้ถึงต้องทำตัวเหมือนเป็นนาซีล่ะ? - คำตอบนั้นก็คือ'ความพังค์'นี่แหละ พังค์นั้นมีชื่อเสียงในการเล่นกับภาพลักษณ์ที่ดูอันตราย,ดูขัดกับค่านิยมในสังคมมาเรื่อยๆ เพราะพังค์นั้นเป็นเสมือนกระบอกเสียงของชนชั้นแรงงานที่เสียงของเขาไม่ได้มีใครให้ความสนใจเท่ากับพวกคนที่มีหน้ามีตาในสังคม และในบางครั้ง ถ้าหากต้องการให้เสียงที่พูดนั้นดังจนคนอื่นได้ยิน ก็ต้องพูดด้วยถ้อยคำหรือภาพลักษณ์อะไรซักอย่างที่จะดึงดูดความสนใจได้ และ 'นาซี' ที่เป็นที่หวาดหวั่นในโลกตะวันตกก็คงเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้ดี
เช่นนี้แล้ว Iceage เองก็ไม่ต่างกับวงพังค์รุ่นเก๋าๆอย่าง The Stooges, Sex Pistols, Joy Division หรือ Siouxsie and the Banshee ที่ตั้งใจสร้างภาพลักษณ์มาเพื่อการนี้ และทำให้กลิ่นของความอันตรายยังคละคลุ้งอยู่กับวงดนตรีวงนี้ไม่ต่างกับวงรุ่นเก๋าๆอย่างแท้จริง (เราเคยเขียนถึงวงดนตรีหลายๆวงกับภาพลักษณ์แบบนาซีแล้ว ใครสนใจตามไปอ่านได้เลยจ้า http://pesc.pw/HQSBL)
Slade - วง Glam Rock ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์เพื่อเกาะกระแสสกินเฮดยุคแรก (ภาพจาก greasykulture.com)
★ จุดเริ่มต้นของสกินเฮด ★
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงยุค 50s เกิดภาวะเศรษฐกิจบูมในลอนดอน ทำให้คนหนุ่มสาวมีเงินเหลือใช้ไปกับการใช้จ่ายเรื่องรสนิยมและสไตล์การแต่งตัวมากขึ้นจนเกิดเป็นสไตล์เฉพาะตัว (จะไม่ลงรายละเอียดตรงนี้มากเพราะไม่ใช่ประเด็นหลัก) ซึ่งหนุ่มสาวพวกนี้รู้จักกันในชื่อว่าพวก 'mods' (ย่อมาจาก modern) สภาวะที่หนุ่มสาวกำลังหาตัวตนให้กับตัวเองไปกับการเป็น 'mods' นี้ลุกลามไปถึงย่านชนชั้นแรงงานในลอนดอนด้วย ซึ่งพวกนี้ถูกเรียกว่า 'hard mods' และเป็นผู้แพร่ขยายแฟชั่นแบบ 'สกินเฮด' นั่นเอง
ทำไมถึงต้องไว้ผมทรงสกินเฮด? เหตุผลก็คือพวกเขาต้องใช้ชีวิตทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่เส้นผมยาวๆ อาจทำให้เกิดอันตราย มิหนำซ้ำเวลามีเรื่องกับคนอื่นก็ยังเป็นจุดอ่อนให้ถูกดึงเอาได้ รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์ของตนเองที่เป็นเสมือนการตอบโต้ต่อพวกฮิปปี้ในยุค 60s ที่วันๆก็เอาแต่เมาและเรียกร้องหาสันติภาพ-เหมือนกับว่าพวกนี้ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ยังไงยังงั้น นี่เป็นสิ่งที่ชนชั้นแรงงานเห็นแล้วก็รู้สึก 'ไม่อิน' อย่างแรง เพราะฉะนั้นการไว้ผมทรงสกินเฮดของพวกเขาจึงเหมือนเป็นการสร้างตัวตนของชนชั้นแรงงาน-ที่สามารถจะมีสไตล์เป็นของตัวเองได้เช่นกัน
อาจจะผิดคาดไปซักหน่อย แต่ชาวสกินเฮดในยุค 60s นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับดนตรีพังค์แต่ประการใด หากแต่ชื่นชอบเพลงสไตล์เรกเก้,สกาที่พวกเขาซึมซับมาจากผู้อพยพชาวจาไมก้าที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกับบรรดาชนชั้นแรงงานในอังกฤษยุคนั้น แฟชั่นแบบสกินเฮดนี้บูมอย่างมากในช่วงปี 1969 ก่อนจะค่อยๆจางไปพร้อมกับการมาถึงของยุค 70s แต่ก่อนที่แฟชั่นนี้จะจางไปนั้น นักเขียนชื่อ Richard Allen (นามปากกา) ก็เขียนนิยายชื่อ Skinhead ที่ดันมีตัวละครแอนตี้ฮีโร่ไว้ผมทรงสกินเฮดและเป็นพวกเหยียดผิว (คือมันเท่ห์อะนะ ใครๆก็ไว้ทรงนี้ได้) เป็นการทิ้งเชื้อไฟในการเชื่อมโยงสกินเฮดเข้ากับพวกนาซีไว้ก่อนการกลับมาบูมอีกครั้งในภายหลังนั่นเอง
ภาพการแสดงสดของวง The Business ที่เต็มไปด้วยชาวสกินเฮด ถ่ายโดย Rainer Theuer
★ Oi! การกลับสู่รากเหง้าที่อันตราย ★
ตัดภาพมาเป็นช่วงหลังจากที่กระแสลอนดอนพังค์ซึ่งนำโดย Sex Pistols ถูกจุดขึ้นมาแล้ว เกิดวงดนตรีพังค์กลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่าวงแนว Oi! เช่น Sham 69, Cock Sparrer ที่ตั้งใจจะทำให้พังค์เป็นเรื่องของชนชั้นแรงงานโดยสมบูรณ์ ว่าง่ายๆก็คือปฏิเสธวงพังค์ที่มีการผสมผสานซาวด์แปลกๆ หรือมีเนื้อหาที่ไม่เชื่อมโยงกับชนชั้นแรงงานมากนัก-พวก Art Punk อย่าง Talking Heads, The Soft Boys ตามที่มือกีต้าร์แห่งวง The Business หนึ่งในวงพังค์สาย Oi! กล่าวไว้ว่า "เป็นพวกเด็กมหาลัยตามกระแส ใช้คำพูดยากๆ พยายามแอ๊คอาร์ต และไม่เชื่อมโยงกับโลกความเป็นจริง" โดย Oi! จะเน้นการพาพังค์กลับไปสู่รากเหง้าพื้นฐานทางดนตรีรวมถึงเนื้อหาสไตล์ชนชั้นแรงงานในอังกฤษอย่างเรื่องเซ็กส์, ฟุตบอล, การชกต่อย, การเมาเหล้า รวมถึงยังมีธีมแบบการเมืองที่เชื่อมโยงกับชนชั้นแรงงานอย่าง การถูกตำรวจโจมตี, การโดนรัฐบาลเอาเปรียบ ซึ่งในการจะเข้าถึงและเชื่อมโยงกับกลุ่มคนฟังได้ วิธีหนึ่งก็คือการนำสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงานที่ดูเก๋ไก๋มาใช้-นั่นก็คือทรงผม 'สกินเฮด' นั่นเอง
แม้วงดนตรีที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Oi! ส่วนใหญ่จะค่อนข้างเป็นกลางทางการเมือง แถมบางส่วนก็เป็น 'ฝ่ายซ้าย' ต่อต้านการเหยียดสีผิว แต่ก็กลับมีแฟนๆบางคนเป็นพวก 'คนผิวขาวเป็นใหญ่' 'ชาตินิยมสุดโต่ง' อย่างที่เคยเห็นในนิยาย Skinhead นั่นแหละ แล้วทำไมแนวคิดที่ตรงข้ามกันถึงมาอยู่ในที่เดียวกันได้?-คำตอบก็คือคอนเสิร์ตพังค์นั้นมักเต็มไปด้วยความรุนแรง ตั้งแต่แฟนบอลตีกันไปจนถึงการตีกันที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตชนชั้นแรงงาน ไม่มีสถานที่ไหนที่เหมาะจะเป็นที่ระบายอารมณ์และความคับข้องใจจากการเมืองเท่าที่นี่อีกแล้ว มิหนำซ้ำไอดอลของสายพังค์อย่าง Sid Vicious ก็มีตราสวัสดิกะหราเชียว (แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ฝักใฝ่นาซี เอามาใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงต่อต้านสังคมเฉยๆ แต่บางคนก็ไม่ได้เก็ทหรอก) จากจุดนี้เองที่ทำให้ดนตรีแนว Oi! ถูกเข้าใจผิด(หรืออาจจะมองว่าป้ายสี)จากสื่อหลายๆเจ้าว่าเป็นพวก 'ขวาจัด' ที่ถอนรากเหง้าจากจาไมก้าออกจากวัฒนธรรม 'สกินเฮด' ให้เป็นเรื่องของคนผิวขาวล้วนๆ
ทั้งนักดนตรีและแฟนเพลงจริงๆต่างก็รู้ดีว่านั่นเป็นการเข้าใจผิดมหันต์ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกกิจที่ไม่สู้ดีและความอดอยากปากแห้งของชนชั้งแรงงาน ทำให้คนบางกลุ่มหันไปโอบรับแนวคิดแบบขวาจัด-ซึ่งชูความเข้มแข็งความความเป็นชาติและโทษผู้อพยพว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ยิ่งถลำลึกลงไปก็ยิ่งโอบรับแนวคิดแบบนาซีที่มีประวัติของการสังหารหมู่คนต่างเชื้อชาติอย่างชัดเจน นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงต่างๆนาๆที่พวกนี้ทำในคอนเสิร์ต Oi! เพื่อทำร้ายกลุ่มคนที่ไปเพื่อฟังเพลงจริงๆ (แต่ก็ไว้ทรงผม 'สกินเฮด' เหมือนกันหมด งงมะ) ราวกับว่าคอนเสิร์ต Oi! กลายเป็นแหล่งนัดชุมนุมของคนพวกนี้ที่พร้อมจะโจมตีคนผิวดำ, คนเอเชีย หรือคนเชื้อสายอื่นๆที่ไม่ใช่คนผิวขาวทุกเมื่อ ซึ่งมอกจากมุมคนนอกก็คงไม่รู้หรอกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน รู้แต่ว่าคอนเสิร์ต Oi! มันมีคนพวกนี้อยู่ พยายามหลีกเลี่ยงจะดีกว่า ในขณะที่พวกนีโอนาซียิ่งได้เจอกลุ่มคนที่คิดไปในทางเดียวกับตัวเองมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกอยากไปเข้าร่วมมากขึ้น
ภาพปก Strenght Thru Oi! (1981)
เคราะห์หามหนักขึ้นไปอีกเมื่ออัลบั้มรวมเพลงของชาว Oi! ในชื่อ Strenght Thru Oi! ถูกเข้าใจผิดว่ามาจากสโลแกนของนาซีที่ว่า "Strenght Through Joy" แถมยังมีหน้าปกเป็น Nicky Crane ผู้เป็นนักเคลื่อนไหวสกินเฮดขวาจัด (ภายหลังออกมายอมรับว่าเป็นเกย์ซึ่งขัดกับแนวคิดชายเป็นใหญ่ของฝ่ายขวา) ไม่รู้ว่านี่เป็นความจงใจหรือความซวยจริงๆเพราะ Garry Bushell ผู้เป็นคนรวบรวมและจัดทำอัลบั้มยืนกรานว่าม่ายช่ายยย ชื่ออัลบั้มมาจาก "Strenght Through Joy" ของวง The Skids ต่างหาก แล้วอีคนบนหน้าปกเป็นใครก็ไม่รู้จริงๆ ซึ่งตัว Bushell นั้นมีความคิดแบบสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดของฝ่ายซ้าย เลยอาจมองได้ว่านี่เป็นความผิดพลาดจริงๆ (แต่ก็พลาดหนักมากจนน่าร้องไห้)
ประจวบเหมาะกับการหวาดกลัวสงครามเย็นในยุค 70s-80s ซึ่งมีศัตรูเป็นรัสเซียผู้มีแนวคิดแบบสังคมนิยมและภาพของคอมมิวนิสต์ที่กลายเป็นภาพของเผด็จการกวาดล้างประชาชนอย่างไร้มนุษยธรรม (ซึ่งจริงๆแล้วเผ็จการก็เกิดขึ้นได้จากทั้งสองขั้วทางการเมืองนั่นแหละ) ทำให้กระแสนีโอนาซีเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นไปพร้อมๆกับวงพังค์หลายๆวงที่ออกมาเปิดตัวว่าเป็นพวกชาตินิยม,เหยียดผิว ด้วยแนวคิดที่ว่าผู้อพยพที่เข้ามาทำงานในประเทศของตนนั้นมีแต่จะทำให้ความมั่นคงของชาติสั่นคลอน ซึ่งในสภาวะที่พวกเขาคิดว่าจะถูกคอมมิวนิสต์แทรกซึมได้ทุกเมื่อนี้นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย จนเกิดเป็นงานรวมวงดนตรีสไตล์นี้อย่าง Rock Against Communism ในปี 1978 โดยมีวงดนตรีเด่นๆอย่าง Skrewdriver ที่เดิมทีไม่ใช่พวกขวาจัด แต่กลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของซีนนี้หลังจากเปลี่ยนสมาชิกที่เป็นพวกขวาจัดเข้ามา แน่นอนว่านี่ก็เป็นอีกวงหนึ่งที่เป็นวงสไตล์ Oi! แถมยังไว้ทรงผมสกินเฮดอีกต่างหาก
อาจจะบอกได้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการเล่นกับภาพลักษณ์อันสุดโต่งและอื้อฉาวของพังค์ที่หันกลับมาทำร้ายตัวเอง ทั้งๆที่กลุ่มสกินเฮดอื่นๆที่ไม่ใช่พวกขวาจัดไม่ได้เหยียดสีผิวก็มีอยู่เยอะแยะ แต่อะไรที่มันอื้อฉาวก็มักจะขายได้ ทำให้สื่อต่างๆที่ไม่ได้เข้าใจวัฒนธรรมสกินเฮดนี้ช่วยกันขยี้ภาพของการเป็นพวกขวาจัดให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นไปอีก จนวัฒนธรรมสกินเฮดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกนีโอนาซีอย่างช่วยไม่ได้ และไม่ว่าสกินเฮดกลุ่มอื่นๆจะพยายามขนาดไหน-พวกเขาก็กลายเป็นคนส่วนน้อยไปแล้ว
ลายปลอกแขนต่อต้านนีโอนาซีที่แถมมากับซิงเกิ้ลเพลง Nazi Punks Fuck Off ของวง Dead Kennedys
★ Nazi Punk Fucks Off ★
เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นอาจจะเกิดขึ้นที่อังกฤษ แต่ในไม่ช้าภาพลักษณ์ของสกินเฮดที่นำไปผูกโยงกับนาซีก็แพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งก็ย้อนกลับมาที่ประเทศผู้มองได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของพังค์อย่างอเมริกา เมื่อดนตรีแนว Oi! เริ่มกลายเป็นแม่แบบให้เกิดซีนดนตรี Hardcore Punk ในยุค 80s และหนึ่งในวงดนตรีอันเลื่องชื่อในซีนดนตรีนี้ก็คือวง Dead Kennedys จากซานฟรานซิสโกวงนี้นี่เอง
อาจจะเรียกได้ว่าประเทศอเมริกานั้นเป็นแหล่งบ่มเพาะนีโอนาซีขั้นดี เมื่อเกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจผิดพลาดต่างๆนาๆของประเทศตนเองที่ทั้งไปรุกรานประเทศอื่น ทั้งกลัวการรุกรานของคอมมิวนิสต์ จนเกิดเป็นความเห็นใจต่อศัตรูเก่าของประเทศตนเองอย่าง 'นาซี' ยิ่งเป็นประเทศที่ความเจริญยังไม่ทั่วถึงแบบนี้ การปลุกปั่นกระแสด้วยข่าวเท็จต่างๆนาๆยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย โดยว่ากันว่าพื้นที่ห่างไกลความเจริญที่พวกทหารเก่ามักไปตั้งรกรากนี่แหละที่เป็นย่านนีโอนาซีโดยแท้จริง (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Green Room จะพอนึกภาพออก)
วง Dead Kennedys เองก็มีชื่อเสียงขึ้นมากับเนื้อหาที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาเช่น 'Kill the Poor' (ฆ่าพวกคนจน) ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นการเสียดสีพวกขวาจัดนี่แหละ (วงนี้มีแนวคิดแบบซ้ายอย่างชัดเจน) อาจฟังดูเป็นเรื่องตลกที่พวกนีโอนาซีซึ่งมีแนวคิดแบบขวาจัดบางส่วนไม่เก็ทมุก และเข้าใจไปว่าวงนี้คิดแบบนั้นจริงๆ เลยทำให้คอนเสิร์ตของพวกเขามีกลุ่มนีโอนาซีสกินเฮดหัวรุนแรงไปดูเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าสมาชิกวง Dead Kennedys ไม่ปลื้มกับเรื่องนี้เลย จนถึงกระทั่งแต่งเพลง 'Nazi Punks Fuck Off' (พวกนาซีพังค์ไปไกลๆตีน) เพื่อมาตอบโต้กลุ่มคนพวกนี้โดยเฉพาะ และประกาศกร้าวว่า "กูไม่เอาพวกมึงโว้ยย" ถ้ายังไม่ชัดพอพวกเขาทำปลอกแขนที่มีรูปตราสวัสติกะถูกขีดฆ่าแถมไว้ในซิงเกิ้ลด้วย (เหมือนเป็นการตบหน้าพวกพังค์รุ่นก่อนๆที่ชูตราสวัสดิกะอยู่กลายๆ)
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำแบบนี้คือการเรียกแขกสุดๆ ด้วยความที่นีโอนาซีมีแนวคิดที่เชื่อในการเอาชนะสิ่งต่างๆด้วยพลังและความแข็งแกร่ง (อย่างที่บอกว่าพวกนี้จะเกลียด LGBTQ และมองว่าเป็นพวกอ่อนแอ) ทำให้พวกนี้ยิ่งมาที่คอนเสิร์ตพังค์มากกว่าเดิม แต่คราวนี้เป็นการมาเพื่อก่อกวนโดยเฉพาะ พร้อมกันนั้นก็พยายามโชว์เหนือพวกนักดนตรีพังค์ว่าพวกมึงมันแกร่งสู้พวกกูไม่ได้หรอก! และวงดนตรีที่ต้องเจอกับการก่อกวนของพวกนี้ก็ไม่ใช่แค่ Dead Kennedys แต่เป็นวงพังค์มากมายไล่ตั้งแต่ Black Flag, Minutemen และอีกหลายๆวง
พฤติกรรมการก่อกวนของพวกนี้ก็มีทุกรูปแบบ ตั้งแต่ทำร้ายร่างกายทีมงาน,คนดู,นักดนตรี และทำลายวัฒนธรรมการ mosh pit (เต้นแบบกระแทกกัน) ที่ปกติถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้ม ฝ่ายที่ชนจะต้องแสดงความเป็นมิตรด้วยการช่วยพยุงคนที่ล้มขึ้น ซึ่งพวกนีโอนาซีก็จะโนสนโนแคร์ กูไล่ชนให้ล้มกันไปข้างอย่างเดียว การก่อกวนของพวกนาซีหนักขนาดที่ Keith Morris แกนนำวง Black Flag เคยพูดไว้ว่า "ผมได้เจอกับสิ่งที่เรียกว่า 'กำแพงแห่งความตาย' พวกนีโอนาซีจะเรียงแถวกันจับมืออยู่ที่หลังบาร์ แล้ววิ่งมาข้างหน้าพร้อมๆกัน พุ่งชนทุกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าให้ล้มลงไปกองกับพื้น" ฝั่งนักดนตรีพังค์เองก็ต้องรับมือกับคนพวกนี้สารพัด ทั้งการให้การ์ดมาหิ้วออกไป ทั้งต้องตะลุมบอนไปด้วย หรือถ้าเบื่อมากๆ ก็ให้พวกนี้ขึ้นเวทีมาพูดอะไรที่อยากพูดให้มันจบๆไป! (สิ่งที่พูดก็มักจะไม่ห่างไกลกับการพยายามเผยแพร่แนวคิดอันสุดโต่ง พร้อมทั้งทำท่าสดุดีฮิตเลอร์)
อย่างที่เห็นว่าถึงแม้จะมีวงดนตรีพังค์ที่เป็นพวกขวาจัด,นีโอนาซีอยู่บ้าง แต่วงพังค์ส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วยกับพวกนี้กันทั้งนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ความเป็นหนึ่งเดียวทางความคิดของนีโอนาซีที่ต่างพร้อมใจกันทำผมสกินเฮดเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนทำให้วัฒนธรรมสกินเฮดดั้งเดิมแทบจะถูกกลืนกินไปหมด มิหนำซ้ำพฤติกรรมอันสุดโต่งของพวกนี้ก็มักทำให้คนจดจำได้ง่ายจนดนตรีพังค์ก็ต้องต่อสู้และแสดงการต่อต้านอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ถูกเหมารวมไปกับพวกนี้อยู่เรื่อยๆ
หรืออาจจะสรุปได้ว่า ถ้าเราไม่อ่านข่าวแค่พาดหัวตัวใหญ่ที่สร้างความตื่นตกใจฉันใด เราก็คงไม่เหมารวมชาวพังค์หรือชาวสกินเฮดว่าเป็นพวกนีโอนาซีฉันนั้นน่ะแหละ
#AddNoise
-------------- หัวข้ออื่นๆ ของ Punk Talk --------------
Punk Talk#1: Sid Vicious / ของแท้หรือแค่ภาพลักษณ์ / https://bit.ly/2JnLkKa
Punk Talk#2: Buzzcocks / ทำไมพังค์จะมีความรักไม่ได้? / https://bit.ly/2VTrAVx
โฆษณา