30 พ.ค. 2019 เวลา 23:59 • ครอบครัว & เด็ก
7 สิ่งที่นิสิตแพทย์​เก่ง เป็นข้อมูลให้กับน้องที่อยากเรียนแพทย์
พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเรียนแพทย์
และคนอื่นๆ เพื่อจะได้ทราบถึงธรรมชาติ
และวงจรชีวิตของนิสิตแพทย์​
ข้อแนะนำ
เพื่ออรรถรสในการอ่าน ควรออกเสียงคำว่า เก่ง ว่า เก้-เอ่ง
แล้วลากเสียงยาวๆตอนท้าย
1. เรียนเก่ง : ไม่ได้หมายถึงเรียนแล้วจำได้
เรียนแล้วโอ้โห บรรลุ​ ดวงตาเห็น​ธรรม​ แตกฉานในศาสตร์​ทุกแขนงแต่อย่างใด แต่หมายถึง เรียนทุกวัน เรียนไม่มีวันหยุดไม่มีวันหย่อน และต้องเรียนทุกอย่าง
เหมือนขโมยศาสตร์​ของชาวบ้านมาเรียนอย่างละนิดอย่างละหน่อย ยังไม่นับศาสตร์​ของตัวเองที่มีสรรพสาขาเหลือเกิน แถมยังเรียนไปก็จำไม่ได้ ต้องเรียนซ้ำเรียนซาก​ เหมือนการเวียนว่ายตายเกิดในคณะนี้
นอกจากนี้ยังต้องเรียนใหม่ตลอด ไกด์​ไลน์​ออกใหม่ทุกเดือน ถ้าไม่ขยัน ไม่เรียนรู้​ตลอดชีพก็จะตกรุ่น​ เพราะ​อีกสิบปีข้างหน้า concept ของสิ่งที่เราเข้าใจ อาจโดนลบล้างให้หายไปดังธุลีในพริบตา​ ทันทีที่มีการค้นพบใหม่ๆ
2. สอบเก่ง : แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึง สอบแล้วได้คะแนนดี คะแนนปัง
ส่วนมากจะปังพินาศ​เสียมากกว่า แต่หมายถึงสอบบ่อยจัด​ๆ สอบทุกสัปดาห์​ สอบทุกเดือน สอบมีทั้งสอบใหญ่สอบย่อย
ความเครียดความกดดัน​ในการเรียน​จึงค่อนข้างมาก
เด็กๆที่เพิ่งเลื่อนชั้นจากมัธยมศึกษา​ตอนปลายขึ้นมาอาจต้องปรับตัวมากๆๆๆ
จากที่ทั้งปีสอบใหญ่ๆ 4 ครั้ง จะกลายเป็นเจอสอบใหญ่ 4 ครั้ง ในเวลา 2 เดือน แถมสอบก็มีหลายรูปแบบ แต่มีแบบไหนบ้าง เดี๋ยว​ค่อยว่ากันเนอะ มันเยอะจ้า
3. บวมเก่ง : นิสิตแพทย์​มักมีการเจริญเติบโต​ในแนวขนานกับพื้นโลกที่ดี
ยิ่งอยู่ในคณะนานๆปีเข้า วงปีจะยิ่งมากเหมือนต้นไม้ใหญ่​ เส้นรอบวงและเส้นผ่านศูนย์กลาง​เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ​
อาจเกิดจากไลฟ์สไตล์​ที่ส่งเสริมให้กินหนักตอนดึก เพราะ นิสิตแพทย์​ส่วนมากเรียนเช้ายันค่ำ หมดแรงงีบแปป ตื่นมาอ่านหนังสือ (ไม่ก็เล่นเกมส์)​ในตอนดึก
การบริโภคอาหารเยี่ยงคนที่ไม่เคยเห็นอาหารมาก่อนในชีวิตจึงมักเกิดขึ้นยามวิกาล กินเสร็จ​นอนเลย เย้ กลางวันชีวิตก็เร่งรีบ เจออะไรต้องกินก่อน มัวแต่อุ๊ยกินนั่นอ้วน กินนี่ไม่ดีต่อสุขภาพ​ งั้นมึงก็ไม่ต้องกิน อ่อนแอก็แพ้ไป คนที่ไหวเขาต้องมีเหนียง
นอกจากนี้สำหรับนิสิตแพทย์​บางสปีชีส์​ การกินจุบจิบตามใจปาก ทั้งหวานมันเค็ม เป็นการคลายเครียด​ เหมือนได้เป็นอิสระจากชีวิตจริง​ เพราะฉะนั้นนิสิตแพทย์​ส่วนมากจึงมักโดนผู้ป่วยมองบน เมื่อไปแนะนำ​ให้ผู้ป่วยทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ​
มึงควรแก้ที่มึงก่อนเลยจ้า อีหมอน้อย​ๆ BNK48 หลบไป เจอBMI 48 หน่อย
4. วางโปรเจ็ค​เก่ง : นิสิตแพทย์​โดยส่วนมาก มีโครงการเยอะ
เหมือนคนเป็น mania นิดๆ เกิดจากพื้นฐาน​ที่เป็นคนทะเยอทะยานพอสมควร มาเจอกับสภาพคณะที่ทำให้จิตตก มองเห็นแต่ความแย่ ความโง่ ความไม่ดีพอของตัวเอง
นิสิตแพทย์​จึงมักจะมีโปรเจ็ค​ที่จะต้องเปลี่ยนตัวเองให้ดีกว่า ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อาทิเช่น โครงการพาตัวเองเข้าฟิตเนส โครงการฝึกหน้าท้องเผื่อเธอเรียกร้องความเซ็กซี่
ส่วนมากมักผันตัวเองมาเข้าฟิตเนสอย่างบ้าคลั่ง กินคลีนขึ้นมาแบบ acute onset ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังซัดหมูกรอบ หนังไก่ทอดอยู่เลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี ที่เขาพยายามจะเปลี่ย​นตัวเองให้ดี
แต่ส่วนมากมักมาแบบไฟแรงเกิน จนสุดท้ายไฟก็มอดอย่างรวดเร็ว​
คนทางบ้านอาจงงๆ อะไรของมัน วันก่อนทุกอย่างต้องโน ชูการ์ วันนี้กระโจนเข้าใส่บิงซูอย่างบ้าคลั่ง จนเบาหวานแทบจะออกตา
ทางที่ดี นสพ.ทุกคน ควรใจเย็น​ๆ ค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรม​แบบช้าๆแต่มั่นคงน่าจะดีกว่า
5. นกเก่ง : นกไม่ใช่สัตว์​ ไม่ใช่ชื่อแม่เพื่อน แต่นกคือสภาวะหนึ่ง
มีความหมาย​สื่อความถึงการพลาดหวัง ในบริบทนี้ นก หมายถึง จีบใครก็ปิ๋ว คุยกับใครก็โดนเทกระจาด นี่เป็นภาวะที่พบบ่อยในนิสิตแพทย์​
แน่นอน ว่าพูดงี้ไป บางคนก็จะรู้สึก​ว่า ไม่จริงอะ พวกแกอะ ออกจะดูอนาคตมั่นคง น่าจะเป็นพวกที่เลือกได้สิ
ผิดถนัด!! นิสิตแพทย์​นั้นมักจะได้ลุ้นแค่กับสายใกล้เคียงกัน ที่พอจะได้วนมาสวนๆกันให้พอสปาร์คกันบ้าง ซึ่งที่มีเช่น นักเรียนพยาบาล ที่พอมีโอกาสเห็นหน้ากัน และจะเข้าใจกันในแง่ของเวลา ภาระงาน
ส่วนไอ้ที่จะข้ามสายไปหาเขา นักเรียนหมอทั้งชายหญิงพึงสังวร ว่าตัวเองขาดความเข้าใจต่อโลกภายนอกโรงพยาบาลมานานแล้ว อาจคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ตามไม่ทัน และสารรูปใบหน้าที่ทรุดโทรมจากความตรากตรำ​ คิ้วอะ เขียนทันกันไหม
ดูนิสิตแบบฝั่งมนุษย์​ ฝั่งบริหารธุรกิจ​ เขามีแต่ยิ่งโตยิ่งสวยยิ่งหล่อ นิสิตแพทย์​นี่ ยิ่งโตก็ยิ่งโทรม เรียนจบก็ชำรุดระดับเป็นโบราณ​วัตถุได้ สภาพสังขารก็ยิ่งแก่ยิ่งอ้วนพี​ ถามจริง จะเอาอะไรไปดึงดูด​ให้เขาสนใจในช่วงเริ่มความสัมพันธ์​
ยังไม่พอ ถ้าเริ่มสานสัมพันธ์​แล้ว ก็อาจระหองระแหงอีก เขาไม่เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่​เรา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าไม่ว่างของเรา หมายถึงไม่ว่างแบบไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอน ซึ่งเขาก็ไม่ผิดที่จะไม่เข้าใจ
ตอนก่อนเข้ามาเรียน เราเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ แต่ไอ้เรื่องนี้นี่แหละ ที่จะทำให้เขาอาจรู้สึกว่า เราไม่ได้สนใจเขา เราไม่ได้จริงจังกับเขา
"ปากบอกชอบ แต่ไม่เคยว่างให้เลย"
"อะไรวะ คุยๆอยู่ อยู่ดีๆก็หาย ไลน์​ไม่ตอบ บอกมีเคสเข้า มีจริงปะวะ หรือแอ๊บยุ่ง ไม่สนใจกันก็บอกดิวะ"
มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดไปแบบนั้น บทสรุปนิสิตแพทย์​จึงมักนก
แล้วความเหงา ความเปลี่ยวในใจ ก็จะทำให้นิสิตแพทย์​หันมามองกันเองในที่สุด
ใครใฝ่ฝันว่าสาวบัญชีเท่านั้นที่เราจะต้องได้ ชายวิศวะเท่านั้นที่คู่ควร ฝันนั้นมักสลายลงง่ายๆ ด้วยความเป็นจริงของชีวิตเรา
6. โทรมเก่ง : สภาพชีวิตที่โคตรโหม
ขึ้นวอร์​ดก่อนไก่โห่ ลงวอร์​ดตอนไก่นอนไปแล้วทุกวัน ไม่มีวันหยุดเสาร์​อาทิตย์​ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์​ อยู่เวรมันเข้าไป เป็นปี4 ปี5 ก็ทำงานมันวันละ 10 ชั่วโมง​เป็นขั้นต่ำ 16-20 ชั่วโมงเป็นขั้นสูงสุด ถ้าเป็น extern ก็ทนไปดิ 24-36 ชม.ติดๆก็ต้องไหว ป่วยได้ ตายได้ แต่ห้ามลา ห้ามขาด คือ motto ของextern
หลังเรียนจบไปยิ่งจะรู้สึก externที่ว่าน่าเกาหัวแล้ว ว่ามันยังทนเป็นคนอยู่ได้ไง เจอชีวิตหลังจบ ไปเป็นอินเทิร์น​ เป็น resident แล้วจะอึ้งทึ่งยิ่งกว่า ก็ด้วยสภาพชีวิตที่โหมกันสุดขั้วอย่างที่เล่ามา
เชื่อได้ว่ากว่าจะถึงจุดที่เป็นหมอใหญ่​ เหล่าแพทย์​ล้วนทิ้งอายุขัยของตนไปไม่น่าจะต่ำกว่าสิบปี​
หมอที่ท่านเห็นจริงๆบนวอร์​ด จึงไม่ได้หล่อเยี่ยงหมอในซีรีส์ แต่เป็นหมอที่สภาพเยี่ยงศพในชุดขาว อารมณ์​บูดๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง​ บางทีผู้ป่วยเห็นหมอเดินมา ก็จะหันไปถามญาติ ว่าเห็นเหมือนกันใช่ไหม หรือว่าฉันเห็นผีในโรงพยาบาล
ข้อสุดท้ายนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เก่ง แต่พบเยอะมาก
7. ซึมเศร้า​ : เป็นเรื่องน่าเศร้า
แต่จริงที่สุด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นิสิตแพทย์​นั้นนอกจากสุขภาพ​กายจะทรุดโทรม​แล้ว สุขภาพ​จิตก็ไม่ได้ดีเลย มีการคะเนกันคร่าวๆว่าในหนึ่งรุ่น คนเกือบครึ่งรุ่นจะมีอาการซึมเศร้า​ ในจำนวนนั้นอีกครึ่ง ถูกวินิจฉัย​เป็นโรคซึมเศร้า​ และต้องทานยาต้านซึมเศร้า
มีการลงมือฆ่าตัวตายทุกปี ทั้งที่ทำสำเร็จ​และไม่สำเร็จ​ ทั้งหมดก็เกิดจากสภาพการเรียนในคณะที่คาดหวังว่า เราต้องทำได้ ทำไม่ได้ก็ต้องออกไป ต้องทนให้ได้ถ้าจะอยู่ วัฒนธรรม​ในคณะที่ไม่ดี เช่นการกินหัวแบบ pain แต่ไม่ได้ gain
(ที่เคยเขียนไปนั้น คือพยายามให้ข้อมูล ในแบบที่ดูดีกว่าที่เป็นจริงมากพอสมควร ปัจจุบัน​ลดไปบ้างพอสมควรแล้วแหละ มีความหวังนะว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ)​
และความจริงที่ว่า การเลือกเดินเข้ามาในโรงเรียนแพทย์ คือการเลือกที่จะทิ้งชีวิตวัยรุ่นอย่างคนทั่วไปวัยยี่สิบเขามีกัน มันคือการเลือกเดินเข้ามาแบกความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่​ อย่างชีวิตของคนอีกหลายคน
มันคือการเลือกเข้ามารับภาระงานที่ค่อนข้างเกินมนุษย์​ปกติจะจินตนาการ​ได้ถึง มันคือการทิ้งทุกอย่าง ทิ้งเวลาส่วนตัว ทิ้งเวลาที่จะได้มอบให้ครอบครัวหรือคนที่เรารัก บางครั้งต้องทิ้งแม้แต่ความเหนื่อย ความง่วง ความหิว กระทั่งต้องทิ้งความรู้สึก​ว่าตัวเองเป็นมนุษย์​ไป เพื่ออยู่ให้รอด
สภาพดังกล่าวบีบคั้นให้ นิสิตแพทย์​จำนวนมาก ซึมเศร้า หรือเฉยชากับทุกสิ่ง ไม่เหลือความรู้สึก​กับอะไรอีกต่อไป กลายเป็น​จบโรงเรียนแพทย์ไปได้อย่างสะบักสะบอม​ได้ชื่อว่า "หมอ" แต่เสียความเป็นมนุษย์​ไปแล้ว เมื่อไรก็ไม่รู้...
ซึ่งสิ่งเล่ามาทั้งหลาย ข้อแรกๆ ก็คงไม่เกินรับได้ แต่ข้อสุดท้ายนี้ บอกได้ว่าร้ายแรงมาก ซึ่งมันก็เกิดขึ้น แม้แต่กับคนที่ใจรักการเป็นหมออย่างแท้จริง
แล้วถ้าสำหรับ​คนที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก แต่โดนบังคับ กดดัน หรือล้างสมองให้เข้ามา การเข้ามาอยู่ในจุดนี้จะสาหัสขนาดไหน คุ้มหรือเปล่า​ครับ
คุณ​พ่อ​คุณ​แม่... ที่ลูกที่ท่านรักที่สุด ยิ่งสิ่งใด ต้องเข้ามาเติมเต็ม​ความฝันของท่าน ต้องมาให้ท่านได้ภูมิใจ ได้อวดคนอื่นว่า ฉันมีลูกเป็นหมอเชียวนะ หรือต้องทำตามความหวังดีของท่าน ที่อยากให้ลูกมีงานมั่นคง มีเกียรติ​ทำ โดยแลกกับหัวใจที่สลายไม่เหลือชิ้นดีของเขา...
กรุณาอย่าเข้าใจว่าผมเห็นวิชาชีพนี้ไม่ดี
วิชาชีพนี้ดีมากๆ โดยส่วนตัวคิดว่า แพทย์​คือคนได้รับโอกาสที่ดี ที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ในลักษณะ​ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ผมสนับสนุน​เสมอ ถ้าน้องคนไหนบอกว่าอยากเข้ามาด้วยตัวเอง ผมบอกเลยว่า มาสิ มันดีจริงๆนะ​
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบ แล้วต้องฝืนเข้ามา หรือเข้ามาแล้ว ไม่ชอบ ฝืนอยู่ ผมอยากบอกว่า...
ไปเถิดครับ
มีทางที่ดีกว่ารออยู่มากมายเลย ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน วิชาชีพไหน ล้วนทำประโยชน์​ต่อเพื่อนมนุษย์​ได้ทั้งสิ้น ถ้าตั้งใจว่าจะทำ​
สำหรับคุณพ่อคุณ​แม่ ถ้าท่านรักลูกของท่าน โปรดพิจารณา​ข้อมูล​ที่ผม
(รวมทั้งแพทย์​ท่านอื่นๆ)
​ได้ให้อย่างถ้วนถี่และอย่ารังแกเขาเลยครับ
สำหรับคนที่โดนบังคับ กดดันอยู่ รักบุพการี​เป็นเรื่องที่ดี แต่เราควรรักตัวเองมากที่สุดครับ มีอีกหลายวิธีครับที่จะตอบแทนคุณ​ท่านได้
รักตัวเองเยอะๆนะครับ
ส่วนคนที่เข้ามาแล้ว ค้นพบว่าไม่ใช่ และออกไปไหนไม่ได้ คุณมีเพื่อน มีอาจารย์ที่พร้อมรับฟังนะครับ การเปิดใจพูดอาจจะน่ากลัว แต่ดีกว่าแบกมันไว้คนเดียวนะครับ เพื่อนนิสิตแพทย์เราเข้าใจกัน ดูแลกันและกันให้ดีนะครับ
โฆษณา