Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
#LittlePrinceThailand
•
ติดตาม
30 พ.ค. 2019 เวลา 23:59 • ครอบครัว & เด็ก
7 สิ่งที่นิสิตแพทย์เก่ง เป็นข้อมูลให้กับน้องที่อยากเรียนแพทย์
พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเรียนแพทย์
และคนอื่นๆ เพื่อจะได้ทราบถึงธรรมชาติ
และวงจรชีวิตของนิสิตแพทย์
ข้อแนะนำ
เพื่ออรรถรสในการอ่าน ควรออกเสียงคำว่า เก่ง ว่า เก้-เอ่ง
แล้วลากเสียงยาวๆตอนท้าย
1. เรียนเก่ง : ไม่ได้หมายถึงเรียนแล้วจำได้
เรียนแล้วโอ้โห บรรลุ ดวงตาเห็นธรรม แตกฉานในศาสตร์ทุกแขนงแต่อย่างใด แต่หมายถึง เรียนทุกวัน เรียนไม่มีวันหยุดไม่มีวันหย่อน และต้องเรียนทุกอย่าง
เหมือนขโมยศาสตร์ของชาวบ้านมาเรียนอย่างละนิดอย่างละหน่อย ยังไม่นับศาสตร์ของตัวเองที่มีสรรพสาขาเหลือเกิน แถมยังเรียนไปก็จำไม่ได้ ต้องเรียนซ้ำเรียนซาก เหมือนการเวียนว่ายตายเกิดในคณะนี้
นอกจากนี้ยังต้องเรียนใหม่ตลอด ไกด์ไลน์ออกใหม่ทุกเดือน ถ้าไม่ขยัน ไม่เรียนรู้ตลอดชีพก็จะตกรุ่น เพราะอีกสิบปีข้างหน้า concept ของสิ่งที่เราเข้าใจ อาจโดนลบล้างให้หายไปดังธุลีในพริบตา ทันทีที่มีการค้นพบใหม่ๆ
2. สอบเก่ง : แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึง สอบแล้วได้คะแนนดี คะแนนปัง
ส่วนมากจะปังพินาศเสียมากกว่า แต่หมายถึงสอบบ่อยจัดๆ สอบทุกสัปดาห์ สอบทุกเดือน สอบมีทั้งสอบใหญ่สอบย่อย
ความเครียดความกดดันในการเรียนจึงค่อนข้างมาก
เด็กๆที่เพิ่งเลื่อนชั้นจากมัธยมศึกษาตอนปลายขึ้นมาอาจต้องปรับตัวมากๆๆๆ
จากที่ทั้งปีสอบใหญ่ๆ 4 ครั้ง จะกลายเป็นเจอสอบใหญ่ 4 ครั้ง ในเวลา 2 เดือน แถมสอบก็มีหลายรูปแบบ แต่มีแบบไหนบ้าง เดี๋ยวค่อยว่ากันเนอะ มันเยอะจ้า
3. บวมเก่ง : นิสิตแพทย์มักมีการเจริญเติบโตในแนวขนานกับพื้นโลกที่ดี
ยิ่งอยู่ในคณะนานๆปีเข้า วงปีจะยิ่งมากเหมือนต้นไม้ใหญ่ เส้นรอบวงและเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อาจเกิดจากไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมให้กินหนักตอนดึก เพราะ นิสิตแพทย์ส่วนมากเรียนเช้ายันค่ำ หมดแรงงีบแปป ตื่นมาอ่านหนังสือ (ไม่ก็เล่นเกมส์)ในตอนดึก
การบริโภคอาหารเยี่ยงคนที่ไม่เคยเห็นอาหารมาก่อนในชีวิตจึงมักเกิดขึ้นยามวิกาล กินเสร็จนอนเลย เย้ กลางวันชีวิตก็เร่งรีบ เจออะไรต้องกินก่อน มัวแต่อุ๊ยกินนั่นอ้วน กินนี่ไม่ดีต่อสุขภาพ งั้นมึงก็ไม่ต้องกิน อ่อนแอก็แพ้ไป คนที่ไหวเขาต้องมีเหนียง
นอกจากนี้สำหรับนิสิตแพทย์บางสปีชีส์ การกินจุบจิบตามใจปาก ทั้งหวานมันเค็ม เป็นการคลายเครียด เหมือนได้เป็นอิสระจากชีวิตจริง เพราะฉะนั้นนิสิตแพทย์ส่วนมากจึงมักโดนผู้ป่วยมองบน เมื่อไปแนะนำให้ผู้ป่วยทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
มึงควรแก้ที่มึงก่อนเลยจ้า อีหมอน้อยๆ BNK48 หลบไป เจอBMI 48 หน่อย
4. วางโปรเจ็คเก่ง : นิสิตแพทย์โดยส่วนมาก มีโครงการเยอะ
เหมือนคนเป็น mania นิดๆ เกิดจากพื้นฐานที่เป็นคนทะเยอทะยานพอสมควร มาเจอกับสภาพคณะที่ทำให้จิตตก มองเห็นแต่ความแย่ ความโง่ ความไม่ดีพอของตัวเอง
นิสิตแพทย์จึงมักจะมีโปรเจ็คที่จะต้องเปลี่ยนตัวเองให้ดีกว่า ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อาทิเช่น โครงการพาตัวเองเข้าฟิตเนส โครงการฝึกหน้าท้องเผื่อเธอเรียกร้องความเซ็กซี่
ส่วนมากมักผันตัวเองมาเข้าฟิตเนสอย่างบ้าคลั่ง กินคลีนขึ้นมาแบบ acute onset ทั้งที่เมื่อวานนี้ยังซัดหมูกรอบ หนังไก่ทอดอยู่เลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี ที่เขาพยายามจะเปลี่ยนตัวเองให้ดี
แต่ส่วนมากมักมาแบบไฟแรงเกิน จนสุดท้ายไฟก็มอดอย่างรวดเร็ว
คนทางบ้านอาจงงๆ อะไรของมัน วันก่อนทุกอย่างต้องโน ชูการ์ วันนี้กระโจนเข้าใส่บิงซูอย่างบ้าคลั่ง จนเบาหวานแทบจะออกตา
ทางที่ดี นสพ.ทุกคน ควรใจเย็นๆ ค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมแบบช้าๆแต่มั่นคงน่าจะดีกว่า
5. นกเก่ง : นกไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชื่อแม่เพื่อน แต่นกคือสภาวะหนึ่ง
มีความหมายสื่อความถึงการพลาดหวัง ในบริบทนี้ นก หมายถึง จีบใครก็ปิ๋ว คุยกับใครก็โดนเทกระจาด นี่เป็นภาวะที่พบบ่อยในนิสิตแพทย์
แน่นอน ว่าพูดงี้ไป บางคนก็จะรู้สึกว่า ไม่จริงอะ พวกแกอะ ออกจะดูอนาคตมั่นคง น่าจะเป็นพวกที่เลือกได้สิ
ผิดถนัด!! นิสิตแพทย์นั้นมักจะได้ลุ้นแค่กับสายใกล้เคียงกัน ที่พอจะได้วนมาสวนๆกันให้พอสปาร์คกันบ้าง ซึ่งที่มีเช่น นักเรียนพยาบาล ที่พอมีโอกาสเห็นหน้ากัน และจะเข้าใจกันในแง่ของเวลา ภาระงาน
ส่วนไอ้ที่จะข้ามสายไปหาเขา นักเรียนหมอทั้งชายหญิงพึงสังวร ว่าตัวเองขาดความเข้าใจต่อโลกภายนอกโรงพยาบาลมานานแล้ว อาจคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ตามไม่ทัน และสารรูปใบหน้าที่ทรุดโทรมจากความตรากตรำ คิ้วอะ เขียนทันกันไหม
ดูนิสิตแบบฝั่งมนุษย์ ฝั่งบริหารธุรกิจ เขามีแต่ยิ่งโตยิ่งสวยยิ่งหล่อ นิสิตแพทย์นี่ ยิ่งโตก็ยิ่งโทรม เรียนจบก็ชำรุดระดับเป็นโบราณวัตถุได้ สภาพสังขารก็ยิ่งแก่ยิ่งอ้วนพี ถามจริง จะเอาอะไรไปดึงดูดให้เขาสนใจในช่วงเริ่มความสัมพันธ์
ยังไม่พอ ถ้าเริ่มสานสัมพันธ์แล้ว ก็อาจระหองระแหงอีก เขาไม่เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่เรา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าไม่ว่างของเรา หมายถึงไม่ว่างแบบไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอน ซึ่งเขาก็ไม่ผิดที่จะไม่เข้าใจ
ตอนก่อนเข้ามาเรียน เราเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันนั่นแหละ แต่ไอ้เรื่องนี้นี่แหละ ที่จะทำให้เขาอาจรู้สึกว่า เราไม่ได้สนใจเขา เราไม่ได้จริงจังกับเขา
"ปากบอกชอบ แต่ไม่เคยว่างให้เลย"
"อะไรวะ คุยๆอยู่ อยู่ดีๆก็หาย ไลน์ไม่ตอบ บอกมีเคสเข้า มีจริงปะวะ หรือแอ๊บยุ่ง ไม่สนใจกันก็บอกดิวะ"
มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดไปแบบนั้น บทสรุปนิสิตแพทย์จึงมักนก
แล้วความเหงา ความเปลี่ยวในใจ ก็จะทำให้นิสิตแพทย์หันมามองกันเองในที่สุด
ใครใฝ่ฝันว่าสาวบัญชีเท่านั้นที่เราจะต้องได้ ชายวิศวะเท่านั้นที่คู่ควร ฝันนั้นมักสลายลงง่ายๆ ด้วยความเป็นจริงของชีวิตเรา
6. โทรมเก่ง : สภาพชีวิตที่โคตรโหม
ขึ้นวอร์ดก่อนไก่โห่ ลงวอร์ดตอนไก่นอนไปแล้วทุกวัน ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ อยู่เวรมันเข้าไป เป็นปี4 ปี5 ก็ทำงานมันวันละ 10 ชั่วโมงเป็นขั้นต่ำ 16-20 ชั่วโมงเป็นขั้นสูงสุด ถ้าเป็น extern ก็ทนไปดิ 24-36 ชม.ติดๆก็ต้องไหว ป่วยได้ ตายได้ แต่ห้ามลา ห้ามขาด คือ motto ของextern
หลังเรียนจบไปยิ่งจะรู้สึก externที่ว่าน่าเกาหัวแล้ว ว่ามันยังทนเป็นคนอยู่ได้ไง เจอชีวิตหลังจบ ไปเป็นอินเทิร์น เป็น resident แล้วจะอึ้งทึ่งยิ่งกว่า ก็ด้วยสภาพชีวิตที่โหมกันสุดขั้วอย่างที่เล่ามา
เชื่อได้ว่ากว่าจะถึงจุดที่เป็นหมอใหญ่ เหล่าแพทย์ล้วนทิ้งอายุขัยของตนไปไม่น่าจะต่ำกว่าสิบปี
หมอที่ท่านเห็นจริงๆบนวอร์ด จึงไม่ได้หล่อเยี่ยงหมอในซีรีส์ แต่เป็นหมอที่สภาพเยี่ยงศพในชุดขาว อารมณ์บูดๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง บางทีผู้ป่วยเห็นหมอเดินมา ก็จะหันไปถามญาติ ว่าเห็นเหมือนกันใช่ไหม หรือว่าฉันเห็นผีในโรงพยาบาล
ข้อสุดท้ายนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เก่ง แต่พบเยอะมาก
7. ซึมเศร้า : เป็นเรื่องน่าเศร้า
แต่จริงที่สุด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นิสิตแพทย์นั้นนอกจากสุขภาพกายจะทรุดโทรมแล้ว สุขภาพจิตก็ไม่ได้ดีเลย มีการคะเนกันคร่าวๆว่าในหนึ่งรุ่น คนเกือบครึ่งรุ่นจะมีอาการซึมเศร้า ในจำนวนนั้นอีกครึ่ง ถูกวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า และต้องทานยาต้านซึมเศร้า
มีการลงมือฆ่าตัวตายทุกปี ทั้งที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ ทั้งหมดก็เกิดจากสภาพการเรียนในคณะที่คาดหวังว่า เราต้องทำได้ ทำไม่ได้ก็ต้องออกไป ต้องทนให้ได้ถ้าจะอยู่ วัฒนธรรมในคณะที่ไม่ดี เช่นการกินหัวแบบ pain แต่ไม่ได้ gain
(ที่เคยเขียนไปนั้น คือพยายามให้ข้อมูล ในแบบที่ดูดีกว่าที่เป็นจริงมากพอสมควร ปัจจุบันลดไปบ้างพอสมควรแล้วแหละ มีความหวังนะว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ)
และความจริงที่ว่า การเลือกเดินเข้ามาในโรงเรียนแพทย์ คือการเลือกที่จะทิ้งชีวิตวัยรุ่นอย่างคนทั่วไปวัยยี่สิบเขามีกัน มันคือการเลือกเดินเข้ามาแบกความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ อย่างชีวิตของคนอีกหลายคน
มันคือการเลือกเข้ามารับภาระงานที่ค่อนข้างเกินมนุษย์ปกติจะจินตนาการได้ถึง มันคือการทิ้งทุกอย่าง ทิ้งเวลาส่วนตัว ทิ้งเวลาที่จะได้มอบให้ครอบครัวหรือคนที่เรารัก บางครั้งต้องทิ้งแม้แต่ความเหนื่อย ความง่วง ความหิว กระทั่งต้องทิ้งความรู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ไป เพื่ออยู่ให้รอด
สภาพดังกล่าวบีบคั้นให้ นิสิตแพทย์จำนวนมาก ซึมเศร้า หรือเฉยชากับทุกสิ่ง ไม่เหลือความรู้สึกกับอะไรอีกต่อไป กลายเป็นจบโรงเรียนแพทย์ไปได้อย่างสะบักสะบอมได้ชื่อว่า "หมอ" แต่เสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว เมื่อไรก็ไม่รู้...
ซึ่งสิ่งเล่ามาทั้งหลาย ข้อแรกๆ ก็คงไม่เกินรับได้ แต่ข้อสุดท้ายนี้ บอกได้ว่าร้ายแรงมาก ซึ่งมันก็เกิดขึ้น แม้แต่กับคนที่ใจรักการเป็นหมออย่างแท้จริง
แล้วถ้าสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบ ไม่ได้รัก แต่โดนบังคับ กดดัน หรือล้างสมองให้เข้ามา การเข้ามาอยู่ในจุดนี้จะสาหัสขนาดไหน คุ้มหรือเปล่าครับ
คุณพ่อคุณแม่... ที่ลูกที่ท่านรักที่สุด ยิ่งสิ่งใด ต้องเข้ามาเติมเต็มความฝันของท่าน ต้องมาให้ท่านได้ภูมิใจ ได้อวดคนอื่นว่า ฉันมีลูกเป็นหมอเชียวนะ หรือต้องทำตามความหวังดีของท่าน ที่อยากให้ลูกมีงานมั่นคง มีเกียรติทำ โดยแลกกับหัวใจที่สลายไม่เหลือชิ้นดีของเขา...
กรุณาอย่าเข้าใจว่าผมเห็นวิชาชีพนี้ไม่ดี
วิชาชีพนี้ดีมากๆ โดยส่วนตัวคิดว่า แพทย์คือคนได้รับโอกาสที่ดี ที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ในลักษณะที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ผมสนับสนุนเสมอ ถ้าน้องคนไหนบอกว่าอยากเข้ามาด้วยตัวเอง ผมบอกเลยว่า มาสิ มันดีจริงๆนะ
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบ แล้วต้องฝืนเข้ามา หรือเข้ามาแล้ว ไม่ชอบ ฝืนอยู่ ผมอยากบอกว่า...
ไปเถิดครับ
มีทางที่ดีกว่ารออยู่มากมายเลย ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน วิชาชีพไหน ล้วนทำประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ได้ทั้งสิ้น ถ้าตั้งใจว่าจะทำ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ถ้าท่านรักลูกของท่าน โปรดพิจารณาข้อมูลที่ผม
(รวมทั้งแพทย์ท่านอื่นๆ)
ได้ให้อย่างถ้วนถี่และอย่ารังแกเขาเลยครับ
สำหรับคนที่โดนบังคับ กดดันอยู่ รักบุพการีเป็นเรื่องที่ดี แต่เราควรรักตัวเองมากที่สุดครับ มีอีกหลายวิธีครับที่จะตอบแทนคุณท่านได้
รักตัวเองเยอะๆนะครับ
ส่วนคนที่เข้ามาแล้ว ค้นพบว่าไม่ใช่ และออกไปไหนไม่ได้ คุณมีเพื่อน มีอาจารย์ที่พร้อมรับฟังนะครับ การเปิดใจพูดอาจจะน่ากลัว แต่ดีกว่าแบกมันไว้คนเดียวนะครับ เพื่อนนิสิตแพทย์เราเข้าใจกัน ดูแลกันและกันให้ดีนะครับ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย