2 มิ.ย. 2019 เวลา 00:40 • กีฬา
#คำพูดหลังเกม
ปลดเปลื้องพันธนาการ
วันที่รอคอยของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มาถึงซักทีครับ วันทีเขาได้ชูถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปและอาจจะเป็นถ้วยที่ได้รับความสนใจมากที่สุดของโลกสำหรับฟุตบอลระดับสโมสร
นายใหญ่ชาวเยอรมันเคยเข้าชิงชนะเลิศในรายการนี้มาแล้ว 2 ครั้ง 2 ครากับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันทั้งสองนัดดังกล่าวจบลงด้วยความปราชัยของ คล็อปป์
ไหนจะสถิติสุดเห่ยที่สื่อประโคมกันก่อนเริ่มเกมการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศที่ คล็อปป์ คุมทีมแพ้ในรอบชิงชนะเลิศมาแบบสุดหูรูด 6 นัดติดต่อกันโดยนับตั้งแต่ตอนที่เขายังรั้งบังเหียน "เสือเหลือง" อยู่
มันไม่ใช่สิ่งที่ดี ความพ่ายแพ้ติดต่อกันในนัดสำคัญแบบปีต่อปีนับตั้งแต่ 2013, 2014, 2015, 2016 (สองถ้วย) และ 2018 เฉลี่ยๆก็คือ คล็อปป์ แพ้นัดชิงปีล่ะครั้งนั่นล่ะ
สิ่งที่อยู่ในใจสำคัญ
เหรียญที่อาจจะประดับในบ้านของ คล็อปป์ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เหรียญทอง แต่มันคือเหรียญเงิน เหรียญที่มีนัยยะเชิงว่าทำดีแล้วแต่ดีไม่สุด ใช่ แต่ล่ะครั้งที่เข้าชิงชนะเลิศบรรดาลูกทีมของ คล็อปป์ โชว์ฝีไม้ลายมือออกมาไม่เป็นสองรองคู่ชิง เพียงแต่ว่าโชคชะตามันเหมือนเล่นตลกก็เท่านั้น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆก็ปีที่แล้วล่ะครับ พวกเขารูปเกมไม่ได้เป็นรอง เรอัล มาดริด ด้วยซ้ำช่วงต้นเกมทว่านับตั้งแต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ออกจากสนามไปเกมก็พลิกผัน
หรือจะให้ย้อนไป เดเอฟเบ โพคาล 2015 ปีสุดท้ายของ คล็อปป์ กับ ดอร์ทมุนด์ พวกเขานำก่อนแท้ๆ 1-0 แต่กลับกลายเป็นว่าโดน โวล์ฟบวร์ก กระซวกไม่ยั้ง 3 เม็ดรวดภายในระยะเวลา 16 นาที
โชคชะตาคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงอยู่แล้วและสิ่งที่จะปลดแอกอะไรเดิมๆ อะไรแย่ๆซ้ำๆได้ก็คือ 'ความพยายาม' นั่นแหละ
คล็อปป์ ทำสำเร็จในนัดชิงชนะเลิศ
แม้ว่ามันจะเป็นนัดชิงชนะเลิศที่อาจจะไม่ค่อยถูกใจแฟนทีมอื่นซักเท่าไรนัก เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าทั้ง ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คือทีมที่เล่นเกมรุกได้เด็ดสะเก่าเร้าทรวงมากที่สุดตอนนี้ ซึ่งเกมรุกนั้นแหละทำให้พวกเขาทะยานสู่รอบชิงชนะเลิศได้
รูปเกมที่ออกมามันไม่ใช่แบบนั้นเลย
เกมนี้ดูเหมือนว่าจากประสบการณ์ต่างๆของ คล็อปป์ เขาจะอัพโชคลาภหรือภาษาเกมเรียกว่าอัพ 'Luk' เต็ม 99 ซะแล้วล่ะมั้งครับเพราะได้ประตูในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายทั้งสองลูก
เริ่มเกมไม่กี่อึดใจ "หงส์แดง" ก็ได้จุดโทษจากความสะเพร่าของ มุสซ่า ซิสโซโก้
เข้าใจล่ะว่ามิดฟิลด์ชาวเฟร้นซ์พยายามจะชี้ให้เพื่อนประกบตัวหลัง แต่การชี้แล้วยกไม้ยกมือขนาดนั้นในกรอบเขตโทษมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำซักเท่าไรนักเมื่อคุณตามประกบใครซักคนอยู่
แม้จะเป็นที่ถกเถียงกันนิดๆหน่อยๆว่าสมควรจะให้หรือไม่แต่บอลมันก็โดนแขนจริงๆอ่ะครับมันปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้หรอก สิ่งที่ควรกันไว้ตั้งแต่เริ่มก็คือไม่ควรจะยกแขนขึ้นมาจนสังเกตุได้ในกรอบเขตโทษอยู่แล้ว
นอกจากฝีมือก็คือดวงด้วยเนี่ยแหละในโลกฟุตบอล มันคือสิ่งที่ผู้จัดการทีมเคยให้สัมภาษณ์ย้ำนักย้ำหนามาตลอดว่าโลกลูกหนังทั้งสองสิ่งนี้หากทีมใดทีมหนึ่งมีทั้งคู่ล่ะก็
ของมาแน่ๆ
ซาลาห์ ทำในสิ่งที่เขาต้องการได้สำเร็จนั่นก็คือยิงประตูในรอบชิงชนะเลิศหลังจากความผิดหวังเมื่อปีก่อน แล้วคุณลองดูลูกที่ ซาลาห์ ยิงสิครับ บอลมันพุ่งไปทางเดียวกับ อูโก้ ยอริส ชัดๆเพียงแต่ว่า ยอริส ดังพุ่งสุดลิ่มถึงเสาประตู
บอลมันถากหัวไหล่นายด่านดีกรีแชมป์โลกไปไม่กี่คืบ
ฝีตีน ซาลาห์ น่ะมีอยู่แล้วไม่มีใครเถียงหรอก แต่นี่เรียกว่าโชคได้ไหม ? ได้แหละครับผมว่า
พอนำ 1-0 เกมมันกลายเป็นว่าอืดขึ้นมาตั้งแต่ 2 นาทีแรก "หงส์แดง" ปล่อยให้ "ไก่เดือยทอง" ครองเกมต่อบอลไปมาแต่สิ่งที่เพี้ยนไปวันนี้ก็คือ แฮร์รี่ เคน ที่สภาพดูแล้วไม่ได้ฟิตพอจะลงสนามด้วยซ้ำ
การหาช่อง การวิ่ง การเก็บบอล หรืออะไรก็ตามแต่ เคน แทบจะไม่มีส่วนร่วมเลยในวันนี้ อารมณ์เหมือนหัวหอกคนสำคัญที่ทีมขาดไม่ได้และจำเป็นต้องเข็นลงสนามนั่นแหละ
หากยังจำกันได้ตอน แอตเลติโก้ มาดริด เข้าชิงและเข็นส่ง ดีเอโก้ คอสต้า ลงจนถูกเปลี่ยนตัวออกนั่นแหละ
เคน น่าจะไม่ฟิตและมันทำให้จุดแข็งของทีมกลายเป็นจุดบอดในทันที ซน ฮึง มิน กับ เดเล่ อัลลี ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าพวกเขาพยายามเล่น พยายามเปิดเกมรุกแต่สองหอคอยยักษ์อย่าง โฌแอล มาติป กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ สุดยอดจริงๆ
รวมไปถึง อลีสซง เบ็คเกอร์ นายด่านบราซิเลี่ยนที่ทำหน้าที่แบบไร้ข้อผิดพลาดตลอดทั้งเกม ไม่มีเลยจริงๆ
ช่วงครึ่งหลังจังหวะที่ ท็อตแน่ม ดาหน้ายิง มีโอกาสส่องสม่ำเสมอ อลีสซง ปัดทิ้ง ชกออก รับไม่มีกระฉอก แถมเก็บคลีนชีทได้
นี่แหละครับ นี่แหละ นี่คือความแตกต่าง 'ส่วนเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่' จากเมื่อปีที่แล้วเลย
เมื่อรับได้ รับแน่นและ สเปอร์ส เจาะไม่เข้ากลายเป็นยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนโดนลงโทษชนิดเข่าอ่อนช่วงท้ายเกมจากการสับไกแบบคมกริบของ ดิว็อค โอริกี้
สุดนะบอกเลยยิงจังหวะนั้น
เพราะตลอดช่วงเวลาที่เขาถูกส่งมาแทน บ็อบบี้ ฟีร์มิโน่ นั้นเชื่อว่า 'เดอะ ค็อป' บางคนแอบหงุดหงิดบ้างล่ะเพราะไอ้เจ้ากี้เนี่ยจ่ายบอลเฟอะฟะเหมือนไม่เคยซ้อมกับ ซาลาห์ มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
กลายเป็นว่าเขายิงว่ะครับ
ฤดูกาลนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งล่ะว่าเป็นฤดูกาลที่สุดยอดในรอบหลายปี หลายสิบปีของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริงแม้ว่าท้ายที่สุดพวกเขาจะได้มาแชมป์เดียวคือ แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตาม
ศักยภาพของทีมดีขึ้นเรื่อยๆ ความสำเร็จเข้ามาแล้ว มีถ้วยรางวัลกลับบ้านซึ่งถ้วยรางวัลนั้นคือถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรป
มันเหมือนกับการตัดริบบิ้นสีแดงฉ่ำเปิดงานสร้างยุคสมัยของตัวเองอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และหลังจากนี้แหละครับเราจะต้องรอลุ้นกันว่ายุคสมัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นหรือว่าล่มปากอ่าวแค่นี้
เพราะหากใครยังจำกันได้กับความสำเร็จของ ราฟา เบนีเตซ ก็แชมป์นี้แต่อีกไม่นานเขาก็ไม่สามารถหาถ้วยมาประดับสโมสรได้อีกจนต้องออกไป
นี่คือสิ่งที่ คล็อปป์ จะต้องเดินหน้าพิสูจน์ตัวเองบนความท้าทายกันต่อว่าเขาจะรักษาศักยภาพของทีมเอาไว้ได้ดีขนาดไหน และการชูถ้วย "หูใหญ่" คราวนี้จะเป็นการตัดริบบิ้นเปิดงานกาล่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรหรือไม่
เรามาลุ้นกันครับ
เค.เค.
ช่องทางติดตามอีกทางที่นี่ครับ :
โฆษณา