11 มิ.ย. 2019 เวลา 07:05 • ท่องเที่ยว
จดหมายรักจากแดนซามูไร ภาค 4 : 3
9 มิถุนายน
ยามากาตะ :
ดินแดนแห่งพระมัมมี่ในญี่ปุ่น
ลูกรัก
เช้านี้ที่เมืองฟูกาย่าลมแรง อากาศค่อนข้างหนาว เพราะเมื่อวานนี้ฝนโปรยปรายทั้งวัน พ่อคิดถึงลูกแต่เช้า วันนี้พ่อว่างไม่ได้ออกไปที่ไหน จึงจะเล่าถึงเมืองยามากาตะ และเรื่องราวของพระมัมมี่ในญี่ปุ่นให้ลูกฟัง เพราะเราเคยรู้จักกันแต่มัมมี่ของอียิปต์ ที่คนเป็นๆ ทำศพให้เป็นมัมมี่เหมือนในหนังที่เราเห็น แต่ที่นี่... ที่ญี่ปุ่นนี้ คนเป็นๆ นี่แหละทำมัมมี่ให้ตนเอง ตั้งแต่ตอนที่ตนเองยังมีชีวิต
ลูกว่าแปลกไหม... เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก และถ่ายทอดเป็นสารคดีทางโทรทัศน์มาแล้ว แต่มีคนไทยน้อยมากที่รู้จัก แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเอง ก็รู้จักเป็นส่วนน้อย ตามพ่อมานะลูก เดี๋ยวพ่อจะพาลูกไปดูจนถึงหลุมศพของมัมมี่เลยทีเดียว
ลูกรัก... คณะของเราออกเดินทางตามรอยพระมัมมี่ ในวันที่ 5 มิถุนายน โดยมีหลวงพ่อ "พระธรรมราชานุวัตร" เจ้าคณะภาค 6 เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว จ.เชียงราย เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมคณะสงฆ์จาก "วัดพุทธาราม" ประเทศญี่ปุ่น ที่เดินทางไปด้วยกัน เราออกเดินทางจากที่พักในเมืองฟูกะย่า จังหวัดไซตะมะ เวลา 09.09 น. ไปด้วยกันทั้งหมด 10 ชีวิต รวมทั้งพ่อโคจิ "โอโต้ซัง" ที่เป็นทั้งไกด์และคนขับรถไปในตัว เราใช้เวลาในการเดินทางเกือบทั้งวัน กว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงเศษ จุดแรกที่เราไปเยือน คือ วัดไคโกจิ เราไปถึงที่นั่นเวลา 16.16 น. เขาเกือบจะปิดวัดแล้ว แต่พอเราไปถึงมีเด็กสาวคนหนึ่งออกมาต้อนรับและเชื้อเชิญให้เราเข้าไปด้านใน
ลูกรัก.... พระมัมมี่เป็นลัทธิหนึ่ง ตามความเชื่อของศาสนาชูเจนโดะ ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมที่นับถือธรรมชาติและภูเขา ผสมผสานกับศาสนาพุทธมหายานและศาสนาชินโตเข้าด้วยกัน หลักการสำคัญของศาสนาชูเจนโดะ คือการฝึกฝนความอดทน และความกล้าแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้น การทำมัมมี่ตนเองจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกความอดทนขั้นสูงสุด ซึ่งผู้ฝึกปฏิบัติได้สำเร็จ [จนเป็นมัมมี่] จะเข้าถึงพุทธภาวะ และเป็นอมตะ รอการกลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งหนึ่งในอนาคต
ลูกครับ... พระมัมมี่เหล่านี้เชื่อว่าตนเองจะฟื้นคืนชีพ ในวันที่พระพุทธเจ้ากลับมาอีกครั้ง จึงฝึกฝนบำเพ็ญตนอย่างเข้มงวด ในระยะสุดท้ายของชีวิตท่านจะอดอาหารแล้วลงไปนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน หรือซอกหินบนภูเขา กินแต่สมุนไพรที่จะทำให้ร่างกายของตนไม่เปื่อยเน่าและจะคงอยู่ในสภาพเดิม ช่วงแรกๆ นั้นเขาจะต่อท่อไม้ไผ่ขึ้นมาด้านบน เพื่อให้มีอากาศหายใจได้ ท่านจะสั่นกระดิ่งเป็นระยะๆ เพื่อส่งสัญาณให้ลูกศิษย์รู้ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเสียงเงียบวันใด นั่นหมายถึงว่าท่านได้หมดลมหายใจแล้วลูกศิษย์ก็จะช่วยกันเก็บท่ออากาศ และปิดรูนั้นอย่างมิดชิดไปอีกจนครบ 1000 วัน แล้วจึงมาขุดดู ว่ากันว่า บางรูปมีชีวิตอยู่ในรูหินนั้นได้ถึง 2 อาทิตย์ก็มี
มิจฉาทิฐิ หรือความเชื่อ ความเห็นที่ผิดๆ นั้นมันทำให้คนเราทำอะไรที่แปลกประหลาดพิสดารได้อย่างคาดไม่ถึงจริงๆ เลยนะลูก พระเหล่านี้เชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับฟื้นคืนชีพ จึงได้สต๊าฟตนเองเอาไว้ เพื่อรอการกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
หลักการทำมัมมี่ตนเองนั้นมีอยู่ว่า พระที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะเป็นมัมมี่จะต้องใช้เวลาถึง 3000 วัน ในการสต๊าฟตนเอง เริ่มจากอดอาหารเป็นเวลา 1000 วันแรก เพื่อเป็นการรีดไขมันในร่างกายออกให้หมด ในช่วงนี้จะทานได้เฉพาะเมล็ดธัญพืชและสมุนไพรบางชนิดบนภูเขาเท่านั้น และในช่วงเวลานั้นจะต้องฝึกปรือตนเองอย่างหนักหน่วง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ทรมานตนด้วยการนั่งสมาธิตากหิมะอยู่บนเขาบ้าง ใต้น้ำตกที่เย็นเฉียบบ้าง ขุดหลุมฝังตนเองบ้าง และอีกสารพัดสารเพเท่าที่ตนเองจะอดทนได้
ลูกครับ... สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าเคยปฏิบัติมาแล้วในช่วง 6 ปีแรก ก่อนที่จะตรัสรู้ ที่เรียกว่า "การบำเพ็ญทุกรกิริยา" นั่นยังไงลูก เมื่อได้ตรัสรู้แล้วพระองค์จึงบอกว่าวิธีการทรมานตนเองให้ลำบากนี้ไม่ใช่แนวทาง มันผิดวิธี นักบวชไม่ควรไปข้องแวะ แต่... พระญี่ปุ่นเหล่านี้ท่านคงจะไม่ทราบ เลยเดินทางผิด ซ้ำรอยพระองค์ท่าน เพราะคิดว่าตนเองจะเป็นอมตะและกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ จึงกล้าที่จะทำอย่างนั้น
1000 วันถัดมา จะต้องจำกัดอาหารให้น้อยลงอีก และจะต้องดื่มน้ำชาที่ได้จากยางของต้นอูรูชิ [Urushi Tree] ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้เขานิยมเอายางมาทำน้ำยาเคลือบแบบจีน หรือถ้าเป็นบ้านเราก็คงประมาณต้นรักที่เขาสกัดเอาน้ำยางมาทำเป็นสีนั่นเอง นอกจากนี้ยังให้เอาน้ำแร่ที่เกิดจากน้ำพุร้อนบริเวณ"ภูเขายูโดโนะ" มาดื่มด้วย นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้นำเอาน้ำแร่นี้มาวิจัย พบว่าในน้ำนั้นมีสารหนูปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงสรุปว่าสารหนูในน้ำแร่นี้นั่นเองช่วยกำจัดแบคทีเรีย และมีส่วนทำให้ร่างกายไม่เปื่อยเน่าในภายหลัง
ลูกรัก... เหลืออีก 1000 วันสุดท้ายพระมัมมี่จะต้องลงไปอยู่ในอุโมงค์หิน ซึ่งเสมือนเป็นสุสานคนเป็น เขาจะเจาะอุโมงค์แล้วให้พระลงไปนั่งอยู่ในกล่องไม้สนซีดาร์ ภายในช่องอุโมงค์นั้น แล้วเอาไม้ไผ่ต่อเป็นท่อลงไปให้หายใจได้พร้อมกับระฆังใบเล็กๆ เพื่อไว้ส่งสัญญาณขึ้นมาข้างบน เมื่อเสียงระฆังเงียบไปวันไหน ก็ให้นำท่อนั้นออกแล้วปิดรู้ไว้ให้ครบ 1000 วัน จึงมาขุดดูว่าท่านกลายเป็นมัมมี่หรือไม่
ถ้าศพแห้งและไม่เน่าเปื่อยแสดงว่าบรรลุเป้าหมาย ท่านจะกลายเป็นพระมัมมี่ที่ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงจากคนในยุคนั้น เขาจะเอาศพขึ้นมาแต่งองค์ทรงเครื่อง จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ให้ผู้คนมากราบไหว้สักการะ รูปไหนที่เน่าเปื่อยก็จะถูกฝังกลบไว้ในอุโมงค์นั้นตามเดิม
ลูกรัก... มีการบันทึกไว้ว่า พระรูปแรกที่ทำมัมมี่ตัวเอง คือท่านโชจิน ในปี พ.ศ. 1624 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีคนที่นับถือลัทธินี้พยายามทำมัมมี่ตนเองมาอย่างต่อเนื่อง สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ที่ทำแล้วสำเร็จมีการบันทึกไว้ว่ามีเพียง 28 รูปเท่านั้น ต่อมาในยุคเมจิ ซึ่งอยู่ในราวสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย องค์จักรพรรดิได้ประกาศห้ามทำพิธีกรรมเยี่ยงนี้อย่างเด็ดขาด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 เป็นต้นมา การทำมัมมี่ตนเองจึงเป็นสิ่งต้องห้ามมานับแต่นั้น ดังนั้นซากมัมมี่ที่ขุดค้นพบได้ในเมืองยามากาตะเกือบ 10 องค์ และที่คณะเรามาตามดูร่องรอยนั้นก็ 5 องค์แล้ว จึงมีอายุเก่าแก่ไม่ต่ำกว่า 100 ปีมาแล้ว
ลูกรัก... วัดแรกนี้ พ่อมัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ และเก็บภาพเสียเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ทันได้ฟังว่ามัมมี่รูปแรกที่เรามาดูนี้ท่านชื่ออะไร อายุได้เท่าไร ท่านนั่งเป็นกุ้งแห้งอยู่ในตู้กระจก ตู้อื่นๆ ก็จะรวบรวมบริขารเครื่องใช้ไม้สอยของท่าน ข้อมูลประวัติและเรื่องราวของท่านมากมาย ซึ่งพ่อก็จนปัญญาที่จะอ่านภาษาญี่ปุ่นออก จึงได้แต่สวดมาติกาบังสุกุล ทำสมาธิ และแผ่เมตตาพร้อมกับคณะ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระธรรมราชานุวัตร" เป็นประธานประกอบพิธีกรรมตามแบบเถรวาทอย่างเราให้กับท่าน ก่อนที่จะเดินทางเข้าที่พักในเมืองซากาตะ
ลูกรัก... เมืองซากาตะยามเช้านั้นสงบงาม พ่อตื่นตั้งแต่ตี 4 ลุกมาเขียนไดอารี่ยามเช้า ตี 4 ที่นี่สว่างโร่แล้วล่ะลูก พ่อนอนอยู่ชั้นที่ 8 มองลงไปด้านล่างเห็นโอบ่ะจัง [แม่อุ้ย] 4-5 คน เดินเก็บใบไม้แห้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟ มองไกลๆ เห็นทิวเขากัสซังที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนรับแสงตะวันยามเช้าๆ รู้สึกดีมากๆ ลูก ผู้คนในเมืองนี้เดินช้า สบายๆ อยู่ตามริมถนน คนมิได้พลุกพล่าน ซากาตะเป็นเมืองท่าเล็กๆ ที่เก่าแก่ของญี่ปุ่น มีอายุยาวนานมาแล้ว กว่า 1,400 ปี [รุ่งเรืองในยุคเอโดะ ค.ศ. 1603-1868] เมืองนี้อยู่ในจังหวัดยามากาตะ อยู่ทางภาคอีสานของญี่ปุ่น ลูกฟังชื่อแล้วก็คงจะไม่คุ้นหูสักเท่าไร เพราะเมืองที่พ่อมาเยือนนี้อยู่นอกเส้นทางทัวร์ ที่คนไทยน้อยคนนักจะรู้จัก
"ซากาตะ" เป็นเมืองท่าริมชายฝั่ง อันได้ชื่อว่าเชิงเขาหิมาลัยในญี่ปุ่น ที่พระภูเขานิยมมาบำเพ็ญเพียรกัน เพื่อการบรรลุธรรมชั้นสูงยาวนานมานับ 1,000 ปี จังหวัดยามากาตะ จึงเรียกได้ว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระญี่ปุ่นในสมัยนั้นนิยมมาบำเพ็ญเพียรกัน เพื่อบรรลุสู่ความเป็นอมตะ [เป็นพระมัมมี่] จะเรียกว่าเป็นชุมทางพระกรรมฐาน [แบบญี่ปุ่น] เฉกเช่นกับป่าอิสิปตนมฤคทายวันในสมัยพุทธกาลก็ไม่ผิดหรอกลูก
ลูกรัก... วันที่สองของซากาตะ เราไปตามรอยมัมมี่กัน ณ วัดไดนิจิโบะ [Dainichibo Temple] ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขายูโดโนะซัง [Yudono-san] ในเมืองซากาตะ วัดไดนิจิโบะมีอาจารย์ "ชินเนียวไดโจนิน" เป็น "พระมัมมี่" ท่านเจ้าอาวาสออกมาต้อนรับและร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้ากับคณะเรา พอเราสวดเสร็จแกก็สวดแบบญี่ปุ่นบ้าง รัวกลองดังสนั่นหวั่นไหว
นอกจากนี้ท่านยังให้พระลูกวัดทำพิธีปัดรังควานแบบญี่ปุ่นให้คณะเราด้วย แกสวดไปด้วยเอาไม้ส้าวยาวๆ ที่มัดกระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆ ไว้ตรงปลายเป็นกระจุก คล้ายๆ กับไม้ม็อบถูพื้นยังไงยังงั้นมาปัดที่หัวเรา ประมาณว่า "สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย" อะไรเทือกนั้น โดยมารยาทเราก็ต้องนั่งนิ่งๆ ให้เขาทำพิธีให้ เชื่อหรือไม่เชื่อมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะลูก วัดนี้วิวสวยมาก หน้าวัดมีแม่น้ำไหลผ่าน มองเห็นทิวเขาและนาขั้นบันไดแบบญี่ปุ่นด้วย พ่อชอบมากๆ ในวัดเงียบๆ มีเพียงคณะเราเท่านั้นที่เข้าไปชม จากนั้นก็ไปดูอีกวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่บนเนินเขาเหมือนกัน วัดนี้ไม่มีใครออกมาต้อนรับ เราเลยได้แค่เข้าไปสวดมนต์แผ่เมตตาแล้วก็กลับ
ช่วงบ่ายเราไปที่ "วัดโฮมเมียวจิ" ซึ่งตั้งอยู่บนเขาเช่นกัน เป็นวัดเล็กๆ เงียบๆ อยู่กลางป่าสน เราต้องเดินขึ้นบันไดเล็กน้อย วัดนี้เจ้าอาวาสยังดูหนุ่ม อายุราว 40 ปี นอกจากท่านจะสวดมนต์ และปัดรังควานให้เราแล้ว แกยังพาไปชม "มัมมี่โฮมเมียวไค" ซึ่งตั้งอยู่ในตู้กระจก รูปนี้อายุ 83 ปี เสียชีวิตมาแล้ว 300 กว่าปี ท่านเคยเป็นซามูไรถึง 12 ปี
ลูกลองนึกภาพตาม พ่อเดินช้าๆ ไปตามทางเท้าในป่าสนซีดาร์ที่ร่มครึ้ม ชื้นๆ มีมอสขึ้นอยู่ตามทางเดิน เพื่อจะไปดูอุโมงค์ หรือถ้ำหินใต้ดินที่ท่านลงไปฝังตัวจนเป็นมัมมี่ บรรยากาศมันดูเงียบเชียบ วิเวกและวังเวงยังไงพิกลลูก ลงจากบนเขาเราแวะไปอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ในเมือง วัดนี้ก็ไม่มีคนออกมาต้อนรับ เราจึงใช้เวลาชมมัมมี่แต่พักเดียว ก่อนที่จะกลับไปส่งหลวงพ่อใหญ่เข้าที่พัก
บ่ายแก่ๆ เรามีโปรแกรมไปชมสวนสนซีดาร์ หรือสวนสน 1,000 ปี บนยอดเขาฮากูโระ [Haguro-san] ซึ่งต้องใช้เวลาเดินชมหลายชั่วโมง และต้องเดินขึ้น-ลง บันไดหินที่สูงเอาการหลายช่วงหลายตอน หลวงพ่อใหญ่เลยต้องขอตัวเข้าที่พักก่อน
ฮากูโระซัง เป็นหนึ่งใน 3 เทวะซังซัน [Dewa Sanzan] หรือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในยามากาตะ ที่ชมได้ทั้งปี และชมได้ง่ายที่สุดในบรรดาเขาอื่นๆ เพราะภูเขาอื่นนั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ขึ้นไปยากลำบาก เขาอนุญาตให้ขึ้นได้เฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น แต่ฮากูโระซังหิมะค่อนข้างน้อย จึงชมได้ทั้งปี ต้นสนซีดาร์บนฮากูโระซังสวยมากๆ ลูก มันสูงใหญ่เกือบทุกต้น จนพ่อต้องแหงนคอตั้งบ่าเลยทีเดียวเวลาดูมัน สมกับที่เขาเรียกสนพันปีเลยจริงๆ พ่อเดินขึ้นบันไดหิน กี่ขั้นต่อกี่ขั้นจนนับไม่หวาดไม่ไหว กลับถึงห้องพักทำเอาม่อยกระรอกเลยทีเดียวลูก
วันที่ 3 แห่งการมาเยือนยามากาตะ เราออกจากที่พักกันแต่เช้า รถวิ่งไปตามไหล่เขาที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดสวยงามยิ่งนัก อากาศยามเช้าๆ กำลังดี "โอโต้ซัง" จอดริมทางให้เราแวะถ่ายภาพยอดเขากัสซัง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ภูเขากัสซัง [Gas-san] เป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงที่สุดในบรรดา 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเทวะซังซันในยามากาตะ มีความสูงถึง 1,984 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่งดงาม และปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เขาจะเปิดให้ปีนเขาและขึ้นไปสักการะศาลเจ้าบนยอดเขาได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น แค่ยืนมองไกลๆ พ่อก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะลูก
ลูกรัก... รถวิ่งไปราว 2 ชั่วโมง เราก็มาถึง "วัดโชโคอิง" ซึ่งเป็นที่เก็บรักษามัมมี่องค์สุดท้าย ที่ขุดค้นพบได้ในญี่ปุ่นเป็นรายล่าสุด เมื่อราว 40 กว่าปีที่ผ่านมา “มัมมี่โคเมียวไค" แปลกจากรายอื่นๆ เพราะท่านเป็นฆราวาสที่บำเพ็ญเพียร หาได้เป็นนักบวช ดังรายอื่นๆ ในบรรดามัมมี่ทั้ง 28 องค์ที่ค้นพบไม่
วัดโชโคอิงเป็นวัดเล็กๆ ตั้งอยู่ที่เมืองชิรากาตะ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขาของยามากาตะ ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุ 61 ปีปัจจุบันผ่านมาแล้ว 126 ปี มัมมี่องค์สุดท้ายนี้ถูกค้นพบเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว อุโมงค์หินของท่านอยู่ห่างจากวัดแห่งนี้ไปบนยอดเขา 3 กิโลเมตร ในหลุมศพของท่านนั้นพบของใช้ไม้สอย อาทิ ขันใส่ธัญพืช หวี ไปป์สูบยา ตะขอแยงหู ฯลฯ ที่ทางวัดเก็บรวบรวมไว้ให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาเรียนรู้
ลูกครับ... วัดนี้มีเพียงท่านเจ้าอาวาส 1 รูป อายุได้ 70 กว่าปี ท่านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แกเป็นนักเทศน์ นักบรรยาย เคยเดินสายไปบรรยายถึงอเมริกา ท่านบอกว่าพวกเราเป็นพระสงฆ์ไทยคณะแรกที่เดินทางมาเยือนที่วัดแห่งนี้ ท่านดีใจมากที่เห็นเราไปเยี่ยม รู้สึกว่าแกจะถูกคอกับหลวงพ่อใหญ่ [พระธรรมราชานุวัตร] เป็นพิเศษ นี่ขนาดคุยกันผ่านล่าม [โอโต้ซัง] แกยังพูดจ้อได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ต้องใช้ล่ามพ่อคงได้เรื่องมาเล่ายาวกว่านี้เป็นแน่ ขาจะกลับแกยังขับรถ [พระญี่ปุ่นขับรถเอง] ตามมาส่งเราถึงร้านอาหาร และขอรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเพลเราทั้งหมดอีก 1 มื้อ
น่ารักจริงหลวงพ่อ
ลูกรัก... เห็นทีพ่อคงต้องจบจดหมายลงเพียงเท่านี้ก่อน ความจริงยังมีเรื่องเล่าของญี่ปุ่นอีกมากมายที่พ่ออยากเล่าให้ลูกฟัง แต่ถ้าให้เล่าต่อพ่อก็คงจะเล่าได้ไม่รู้จบ เพราะสิ่งที่พ่อได้ไปรู้ไปเห็นมานั้น มันเหมือนใบไม้ในป่าทั้งป่า แต่ทว่า... พ่อได้หยิบเอามาเล่าเพียงแค่ใบไม้ในกำมือเดียวเท่านั้น [สำนวนพระพุทธเจ้า] เอาเป็นว่า ถ้ามีเวลาพ่อจะกลับมาเล่าต่อก็แล้วกันนะครับ
รักลูกเสมอ
จากพ่อ
#จดหมายรัก #บันทึกการเดินทาง #ทำมะจาริก #หัวใจออกเดิน #พระมัมมี่ #มัมมี่ญี่ปุ่น #แปลกแต่จริง #เมืองซากาตะ #จังหวัดยามากาตะ #ต้าสนซีดาร์ 🚶🛵
โฆษณา