14 มิ.ย. 2019 เวลา 07:32 • ประวัติศาสตร์
ยาสุเกะ ซามูไรผิวสีคนเดียวในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ในขณะที่เหตุการณ์ ณ วัดฮนโนะจิ กำลังปะทุถึงจุดแตกหัก ทัพของขุนพล อาเคชิ มิตซึฮิเดะ ปิดล้อมทางเข้าออกของวัดไว้ทุกทาง และในมือของมิตซึฮิเดะตอนนี้มีคบเพลิงอันใหญ่
ผู้ปิดล้อมประกาศกร้าวให้คนที่อยู่ข้างในออกมามอบตัวเสียดีๆมิเช่นนั้น เราจะเผาวัดให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่หลังจากรออยู่นาน ก็มีเพียงซามูไรจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นก้าวออกมาประจัญหน้า
มิตซึฮิเดะมองปราดเดียวก็ทราบดีว่าซามูไรกลุ่มนี้คือองครักษ์ใกล้ชิดของจอมพล โอดะ โนบุนากะ ที่ตนเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่ในเมื่อวันนี้ความคิดไม่ตรงกัน ปัญหาจึงต้องถูกตัดสินด้วยคมดาบเท่านั้น
ฟาดฟันกันเป็นเวลานาน องครักษ์กลุ่มเล็กๆของโนบุนากะแต่ละนายสู้แบบถวายชีวิต ในขณะที่นายใหญ่ที่อยู่ภายในวัดประเมิณสถานการณ์แล้วว่าตนคงไม่รอดแน่ จึงตัดสินใจทำฮาราคีรีเพื่อจบชีวิตตนเองอย่างสมเกียรติ ส่วนซามูไรภายนอกก็ค่อยๆล้มตายกันไปทีละคน
ว่ากันว่า เมื่อคนกำลังจะตาย ในวินาทีสุดท้ายจะปรากฎภาพของทั้งชีวิตที่ผ่านมาในอดีต ฉายย้อนเหมือนภาพยนตร์ให้เราเห็น ทีละฉาก ทีละฉาก
เราจะย้อนกลับไปดูภาพเหล่านั้นในความทรงจำขององครักษ์ใกล้ชิดนามว่า ยาสุเกะ กันครับ
ถึงแม้ว่าประวัติของ Yasuke ซามูไรหนุ่มผู้นี้ในช่วงวัยเด็กจะไม่ปรากฎแน่ชัดนัก แต่หากเราตรวจดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเหล่า Jesuits หรือนักบวชคริสต์สัญชาติโปรตุเกสก็พอจะทำให้เราตั้งข้อสันนิษฐานได้บ้าง
คาดว่า Yasuke เกิดเมื่อปี 1555 ในชนเผ่าบันตู ประเทศโมซัมบิค แอฟริกาตะวันออก พอเขาอายุได้ประมาณ 13 ปี ก็ถูกขายให้ขบวนการค้าทาสของโปรตุเกส
Yasuke เป็นเด็กหนุ่มแอฟฟริกันหน้าตาดีและร่างกายกำยำ เป็นที่ถูกใจของบาทหลวง Alessandro Valignano (อเลสซันโดร วาลิญาโน่) หัวหน้าคณะ Jesuits เป็นอย่างมาก ไม่นานทาสหนุ่ม Yasuke จึงถูกโอนมาเข้าสังกัดของบาทหลวง Valignano ที่มีแพลนจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อเผยแผ่ศาสนา
กล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้นสักหน่อย ดินแดนอาทิตย์อุทัยในห้วงศตวรรษที่ 15 ยังเต็มไปด้วยสงครามกลางเมือง การต่อสู้ของแว่นแคว้นและไดเมียวเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ การดวลกันระหว่างซามูไรตามท้องถนนมีให้เห็นอยู่ทุกวี่วัน
ย้อนกลับในปี 1543 เป็นปีที่ชาวโปรตุเกสกลุ่มแรกมาถึงญี่ปุ่น ในตอนนั้นประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการผ้าไหมแบบมีเท่าไหร่เอาหมดจากประเทศจีนซึ่งปกครองโดยราชวงศ์หมิง แต่ด้วยความที่จีนกับญี่ปุ่นไม่ถูกกัน ทำให้พ่อค้าชาวจีนและญีปุ่นไม่สามารถเดินทางไปซื้อขายกันได้ โปรตุเกสเห็นช่องทางทำเงินนี้ จึงไม่รอช้าล่องเรือไปซื้อผ้าไหมจากจีนมาขายที่ญี่ปุ่น เกิดเป็นกิจการแรกบนแผ่นดินใหม่
การค้าผ้าไหมของชาวโปรตุเกสนำมาซึ่งความมั่งคั่งให้พวกเขาอย่างรวดเร็ว จนสามารถครอบครองเมืองท่าทางใต้ของญี่ปุ่นได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยมีเมืองหลักอยู่ที่นางาซากิ เป็นศูนย์กลางการค้าทุกอย่างตั้งแต่ผ้าไหมไปจนถึงการค้าทาส
ตามสเต็ปที่ใช้กันเป็นประจำของชาติยุโรป หลังจากควบคุมเรื่องเศรษฐกิจได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเผยแผ่ความเชื่อและศาสนา โปรตุเกสเริ่มนำเข้าบาทหลวง Jesuits มาที่ญี่ปุ่น โดยมีจุดหมายเดียวคือ โน้มน้าวคนญี่ปุ่นให้หันมานับถือคริสต์
ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ทางตอนใต้ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะเกาะคิวชูต่างเปลี่ยนศาสนาไปเป็นคริสต์ทั้งหมด มีรายงานว่า ในยุคนั้นมีชาวญี่ปุ่นราว 2 แสนคนที่นับถือคริสต์ และเมื่อรวมกับนโยบายที่เป็นมิตรกับชาวตะวันตกโดยผู้ครองแผ่นดิน Oda Nobunaga (โอดะ โนบุนากะ) ทำให้บาทหลวง Jesuits ตั้งโบสถ์คริสต์ได้สำเร็จ ณ นครเกียวโต
กาลต่อมาในปี 1579 บาทหลวง Valignano ก็มาถึงแผ่นดินญี่ปุ่นที่นางาซากิโดยพาทาสผิวดำคู่ใจของเขามาด้วย พวกเขาปักหลักสอนศาสนาอยู่ที่เมืองนี้ราว 2 ปี กระทั่งในวันที่ 14 พฤษภาคม 1581 Valignano ก็เดินทางไปเกียวโต เมืองหลวง เพื่อเผยแพร่ศาสนาต่อโดยไม่ลืมพาทาสของเขาไปตามเคย
เมื่อเดินทางไปถึง คณะของ Valignano ก็สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านเมืองหลวงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นคนแอฟริกันตัวสูงใหญ่ ผิวดำทะมึนแบบนี้มาก่อน หลังจากที่ไปอยู่เมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ทาสผิวดำของ Valignano ก็กลายเป็นเซเล็บของเกียวโตทันที
ความดังไม่เข้าใครออกใคร ชาวบ้านเริ่มแห่มาดูกันมากขึ้นจนเหล่าบาทหลวงต้องปิดประตูโบสถ์ แต่ชาวบ้านก็ยังไม่วาย เอาท่อนซุงมากระทุ้งประตู บุกเข้าไปดูมนุษย์ต่างดาวกันเกือบทั้งตำบล
ไม่นานเรื่องนี้ก็ไปเข้าหูท่าน Nobunaga เจ้าครองแผ่นดิน ในตอนแรก Nobunaga คิดว่าทหารของตนล้อเล่น จะมีมนุษย์ที่ไหนมีผิวดำกันเล่า เขาคิด และด้วยความสงสัย ท่านจึงออกเดินทางไปที่โบสถ์เพื่อดูให้เห็นกับตา
เมื่อไปถึง บาทหลวง Valignano ออกมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีก่อนจะพาท่านได้เมียวเข้าไปในโบสถ์เพื่อชมตัวจริง ทันทีที่ได้เห็น Nobunaga ถึงกับตกตะลึง!
มนุษย์เพศชาย ผิวดำ สูงราว 188 ซม. (ค่าเฉลี่ยของชายญี่ปุ่นสมัยนั้นคือ 155 ซม.) กล้ามเนื้อเป็นมัดเรียงสวยงาม ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อแม่ ท่านไดเมียวไม่เคยพบเจอมนุษย์แบบนี้มาก่อน
Nobunaga สั่งให้ชายผิวดำถอดเสื้อออกเพื่อที่ตนจะได้สัมผัสผิวกาย เพราะเขาคิดว่าจริงๆแล้วชายผู้นี้เป็นคนผิวขาว แต่ถูกพวกโปรตุเกสเอาหมึกมาย้อมกายจนเป็นสีดำถึงขั้นเอาผ้าขาวมาขัด แต่ไม่ว่าจะขัดแรงเท่าใด สีดำก็ไม่ติดมากับผ้าเลย Nobunaga จึงรู้ว่า สีผิวเป็นของจริง และความใหญ่โตนี้ก็เป็นของจริงเช่นกัน ก่อนจะกลับท่านจึงตั้งชื่อให้ชายผู้นี้ว่า
"Yasuke"
Nobunaga ประทับใจในตัว Yasuke มากจนเดินทางมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆที่โบสถ์ ทุกครั้งที่มาท่านก็จะสอนภาษาญี่ปุ่นแก่ Yasuke และให้ประลองกำลังกับผู้ติดตามของท่านอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอน องครักษ์ของ Nobunaga ไฉนเลยจะสู้แรงชายยักษ์ผู้นี้ได้ ต่างถูกเหวี่ยงกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง และ Nobunaga เองก็ชอบอวดกับคนอื่นว่า เจ้า Yasuke คนนี้มีกำลังเท่ากับชาย 10 คนเลยทีเดียว!
ถึงแม้จะเกิดกันคนละฝั่งโลก แต่ในเมื่อดวงสมพงศ์กันก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้อีกต่อไป Nobunaga เอ่ยปากขอ Yasuke จาก Valignano ให้เข้ามาเป็นองครักษ์ประจำตัวของท่าน Valignano ตอบรับด้วยความจำใจแตกต่างจาก Yasuke ที่รับด้วยความเต็มใจ และพร้อมที่จะผจญไปในโลกใหม่ที่ชื่อว่า ซามูไร
เขาได้รับยศศักดิ์ทุกอย่าง ตั้งแต่เงินเบี้ยหวัด บ้านและที่ดิน รวมถึงดาบคาตานะที่มีความยาวมากกว่าปกติและถูกตีขึ้นโดยช่างประจำตัวของ Nobunaga
ถ้ามีดาบแต่ไม่รู้วิธีใช้ก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าซามูไร Nobunaga ให้อาจารย์ดาบประจำสำนักมาสอนวิชาอาวุธให้กับ Yasuke เขาเป็นชายหนุ่มที่เกิดมาเพื่อการต่อสู้ ไม่นานก็ใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญ
ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของญี่ปุ่นก็ถูกสอนให้ Yasuke เช่นเดียวกัน และด้วยความที่เป็นคนโปรดของท่าน Nobunaga เขาก็ได้รับสิทธิพิเศษเหนือซามูไรคนอื่นๆ คือได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกับท่านทุกวัน
หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อเป็นนักรบจนเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาออกศึกเสียที Nobunaga พา Yasuke ไปร่วมรบในฐานะองครักษ์ใกล้ชิดด้วยทุกครั้ง และครั้งที่สร้างชื่อที่สุดเห็นจะเป็น ศึก เทนโมะคุซัน ที่ Yasuke และเจ้านายของเขาเข้าประจัญบานกับขุนพลของตระกูล ทาเคดะ ก่อนจะสังหารจนหมดเกลี้ยง เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินญี่ปุ่น
หลังเสร็จศึก เทนโมะคุซัน Yasuke ก็เดินทัพไปสำรวจดินแดนใหม่ที่เพิ่งยึดมาได้จากตระกูลทาเคดะเคียงข้างกับนายของเขาอย่างสง่าผ่าเผย สร้างความประหลาดใจให้กับพันธมิตรอื่นๆของ Nobunaga เป็นอย่างมาก จากการได้เห็นชาวแอฟริกันผิวดำตัวใหญ่ที่ไม่มีลักษณะคล้ายคนญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ ยืนคุยกับขุนพลชื่อดังของแผ่นดินอย่าง Tokugawa Ieyasu (โตคุงาว่า อิเอะยะสึ) อย่างสนิทสนม
ภาพความทรงจำในช่วงนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือช่วงที่มีความสุขที่สุดของชีวิต Yasuke...
Nobunaga กับ Yasuke เดินทางกลับจากรบในเดือนมิถุนายน ปี 1582 กองทัพได้พักช่วงหนึ่งก่อนที่จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรก Nobunaga บัญชาให้ไปกำราบตระกูลโมริที่กำลังแข็งข้ออยู่ หากมีโอกาสก็จะจู่โจมปราสาท ทาคามัตสึ และบุกยึกครองทั้งแคว้นให้ได้ อีกส่วนหนึ่งให้ตั้งอยู่ที่ปราสาท อะซึชิ เพื่อคุ้มครองฐานที่มั่น
Nobunaga เองอยู่ในจุดที่เริ่มเบื่อหน่ายกับการออกศึกและวางแผนให้ขุนพลรุ่นต่อไปขึ้นมากุมบังเหียนแทน เขาจึงออกเดินทางไปพำนักที่วัด ฮนโนะจิ อย่างลับๆพร้อมกับองครักษ์และบริวารจำนวน 30 คน โดยตั้งใจจะเกษียณตัวเองจากการฆ่าฟันเสียที
แต่แล้วในวันที่ 21 มิุนายน 1582 ในขณะที่คณะของ Nobunaga กำลังพักผ่อนอยู่ทีวัด พลันมีเสียงควบของม้านับร้อยตัวจนแผ่นดินสะเทือนไปหมด โนบุนากะประมวลผลด้วยความรวดเร็ว คนที่รู้เกี่ยวกับสถานที่ลับในการพักร้อนครั้งนี้ มีเพียงนายพลคนสนิทไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือ Akechi Mitsuhide (อาเคชิ มิตสึฮิเดะ)
Mitsuhide นายพลในกองทัพของ Nobunaga วันนี้ไม่ได้มาเล่นๆ เขามาเพื่อรัฐประหารต่อเจ้านายตนเองเต็มรูปแบบ และด้วยกำลังที่เหนือกว่า เขาก็ปิดล้อมวัดได้ในเวลาไม่นาน
เมื่อแสงสว่างวาบของภาพในอดีตหายไป Yasuke กลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่กำลังถูกรายล้อมด้วยทหารนับร้อยของ Mitsuhide กอปรกับความตายของนายท่านที่เพิ่งคว้านท้องไปเมื่อกี้ ทำให้ Yasuke ตัดสินใจ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย ตีฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้
หลังจากที่ควบม้าอยู่หลายวัน ในที่สุด Yasuke ก็ไปถึงปราสาท นีโจ ของ Oda Nobutada บุตรชายของ Nobunaga และเมื่อ Nobutada ทราบเรื่องที่วัด ฮนโนะจิ ก็ไม่รอช้าจัดทัพเพื่อการล้างแค้นทันที Yasuke จึงได้รับใช้ลูกชายของนายท่านต่ออีกสมัยหนึ่ง
แต่การศึกช่างไม่เป็นใจกับตระกูล Oda เมื่อ Nobutada กลับพ่ายแพ้ต่อ Mitsuhide อีกครั้ง และถูกบังคับให้กระทำฮาราคีรีเหมือนผู้เป็นพ่อ ส่วน Yasuke นั้นถูกจับได้ และนำตัวมาให้ Mitsuhide พิพากษา
Mitsuhide กล่าวว่า "เจ้านี่มีผิวดำผิดมนุษย์มนา และด้อยค่าเกินว่าเราจะประหารทิ้ง จงปลดอาวุธของมัน แล้วส่งมันกลับไปอยู่ที่โบสถ์เพื่อเป็นทาสรับใช้ ตามสถานะกำเนิดของมัน"
เป็นอีกครั้งที่จุดจบของ Yasuke ก็ไม่มีบันทึกแน่ชัดดังเช่นชาติกำเนิดของเขา แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนในเรื่องนี้คือสัจธรรมแห่งความไม่เที่ยง
Yasuke จากทาสกุลีในโบสถ์คริสต์สู่จุดสูงสุดของระบบศักดินาแห่งญี่ปุ่น ก่อนที่จะกลับสู่สามัญชนในเวลาเพียงปีเศษๆ
และนี่ คือชีวิตอันโลดโผนของซามูไรผิวดำนามว่า "ยาสุเกะ" ครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ เช่นเคย โปรดคอมเมนท์แชร์ความเห็นกันให้เต็มที่เลยครับ
.
.
เกร็ดเล็ก: หลังจากยุคสมัยของ Oda Nobunaga ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้งประเทศคนแรกคือ Tokugawa Ieyasu พันธมิตรชิดเชื้อกับ Nobunaga นั่นเอง
เกร็ดน้อย: ซามูไรชาวต่างชาติคนแรกจริงๆแล้วคือนาย William Adams กะลาสีผิวขาวชาวอังกฤษ ซึ่งเขาก็ไต่เต้าขึ้นไปเป็นนายพลระดับสูงของกองทัพ Ieyasu ได้ในปี 1564 ก่อนการมาของ Yasuke
- Xyclopz
โฆษณา