Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
14 มิ.ย. 2019 เวลา 12:09 • กีฬา
เรื่องราวของจอร์จ เบสต์ สุดยอดตำนานแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่คือจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ของไอ้หนุ่มจากเบลฟาสต์ ติดตามอ่านกันได้ใน จอร์จ เบสต์ เดอะ ซีรีส์ EP.1
เปเล่ - Good
มาราโดน่า - Better
จอร์จ - Best!
นี่คือมุกที่ฝรั่งเขาใช้สรรเสริญ ความมหัศจรรย์ของจอร์จ เบสต์ ดาวเตะในตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
จอร์จ เบสต์ คือความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ความรู้สึกของแฟนบอลคิดกับลีโอเนล เมสซี่ ในตอนนี้อย่างไร ในยุค 60 ก็คิดกับเบสต์ ไม่ต่างกัน
เขาคือนักเตะอัจฉริยะแต่กำเนิด วิ่งเร็วเป็นกรด เทคนิคดีเหลือเชื่อ ยิงประตูคมมาก ว่ากันตรงๆ ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ในสนาม
รางวัลใหญ่ๆ ที่มีบนโลก เขาคว้ามาหมดแล้ว ทั้งแชมป์ลีกอังกฤษ ,แชมป์ยุโรป ,ดาวซัลโวบอลอังกฤษ และที่สำคัญที่สุด บัลลงดอร์
ความยิ่งใหญ่ของเขา เล่าได้ 1 เดือนเต็มๆก็ยังไม่หมด เพราะ จอร์จ เบสต์ นั้นสุดยอดจริงๆ
อย่างไรก็ตาม กว่าที่เขาจะก้าวขึ้นมา ถึงจุดสูงสุดได้ มันไม่ได้ง่ายแบบโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เขาต้องสู้กับใจตัวเอง และเกือบจะถอดใจ จวนเจียนจะแพ้ไปตั้งแต่วันแรก ...
จอร์จ เบสต์ เกิดที่เมืองเบลฟาสต์ ในไอร์แลนด์เหนือ เขาเป็นลูกคนแรกของ ดิ๊กกี้ ช่างเชื่อมเหล็ก และ แอนน์ พนักงานโรงงานยาสูบ
เบสต์เป็นเด็กที่เข้าถึงยาก ขี้อาย เก็บตัว และไม่ค่อยมีเพื่อน กิจกรรมอย่างเดียวที่เขาชอบทำ คือเตะฟุตบอลในวันหยุด ถ้าหาก วันไหนไม่มีเกมให้แข่ง เขาก็จะเอาลูกเทนนิสมา 1 ลูก แล้วก็เลี้ยงเทนนิสไปเรื่อยๆรอบเมือง
"ตอนผมย้ายบ้านมาที่ถนนเครก สุดถนนจะเป็นประตูโรงรถของชาวบ้านคนอื่น ผมจะเอาลูกเทนนิสเก่าๆ เตะอัดประตูโรงรถ ให้มันกระดอนออกมา แล้วผมก็จะคอนโทรลบอลที่เด้งมา แล้วก็เตะอัดโรงรถอีก ซ้ำไปซ้ำมาเป็นชั่วโมง" เบสต์เผย
การเล่นกับลูกเทนนิสคนเดียว มันเพิ่มทักษะการคอนโทรลบอลของเบสต์โดยไม่รู้ตัว ตอนสมัยเรียนประถม เบสต์ เลี้ยงลูกเทนนิส จากบ้านไปโรงเรียน เป้าหมายของเขาคือเลี้ยงลูกเทนนิส โดยไม่เสียบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จากนั้นพออายุ 11 เบสต์เริ่มลงสนามจริงจัง กับกลุ่มนักเตะเยาวชนด้วยกัน ซึ่งแม้เขาจะผอมมาก แต่มีความเร็ว และเลี้ยงบอลเก่งมากๆ จนไม่มีเด็กคนไหน ประกบเขาได้อยู่
และจากนั้นมา พออายุ 13 ปี ก็ไม่มีเยาวชนคนไหนในเบลฟาสต์ จะเล่นกับเบสต์ได้อีกต่อไป เขาจึงต้องก้าวไปเล่นกับทีมผู้ใหญ่ ซึ่งก็เหมือนเดิม ผู้ใหญ่แต่ละคนโดนเขาหลอกจนหัวทิ่มหัวตำ
เบสต์ อยู่สังกัดทีมท้องถิ่น ชื่อเครกคลับ บอยส์ แม้เขาจะเก่งมาก แต่ผู้จัดการทีมบั๊ด แม็คฟาร์แลนด์ ยังมองว่า เบสต์มีจุดอ่อน
"ไอ้หนู เท้าซ้ายแกไม่ค่อยคล่องนะ"
พอเบสต์ได้ยินดังนั้น ตลอด 1 สัปดาห์ เขาฝึกเตะลูกเทนนิสด้วยเท้าซ้ายอย่างเดียว และพอถึงวันเสาร์ ที่ต้องลงแข่ง เขาใส่สตั๊ดข้างเดียว คือข้างซ้าย ส่วนข้างขวาเป็นผ้าใบธรรมดา โดยตลอดเกม เบสต์ ใช้เท้าซ้ายอย่างเดียว เกมนั้นทีมชนะไป 21-0 เบสต์ยิงไป 12 ประตู ด้วยเท้าซ้ายทั้งหมด
เบสต์ เป็นคนมีพรสวรรค์สูงมาก แค่เขาฝึกเท้าซ้ายอย่างจริงจังแค่ 1 สัปดาห์ สามารถแก้ไขปัญหาที่เคยมีมาได้อย่างเด็ดขาด เขากลายเป็นนักเตะที่ถนัด 2 เท้า ได้ในพริบตา
นักเตะบางคนฝึกทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัดได้ แต่ไม่ใช่กับจอร์จ เบสต์
ความเก่งกาจของเบสต์ ไปเข้าหู บ๊อบ บิช็อป แมวมองประจำสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประจำภูมิภาคไอร์แลนด์เหนือ
คือนักเตะไอริชเก่งๆ ที่ทีมปีศาจแดงได้ตัวมา อย่าง แซมมี่ แม็คอิลรอย, นอร์แมน ไวท์ไซด์ หรือ จิมมี่ นิโคล ล้วนผ่านมือบ๊อบ บิช็อปทั้งนั้น และคราวนี้ เขาคิดว่าสายตาตัวเองไม่พลาดแน่ จอร์จ เบสต์ คือสตาร์คนต่อไปของวงการ
จริงๆแล้ว มีทีมจากอังกฤษ อย่างลีดส์ ยูไนเต็ด เกือบจะเซ็นคว้าเบสต์ตัดหน้าแมนฯยูไนเต็ดอยู่แล้ว แต่แมวมองลีดส์ พอมาดูฟอร์มในสนาม เขาไม่แฮปปี้กับร่างกายของเบสต์ที่ผอมบางเกินไป จึงมองข้ามไป และนั่นกลายเป็นโอกาสของปีศาจแดงแทน
บิช็อป ยื่นข้อเสนอ ให้เบสต์ไปทดสอบฝีเท้าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 สัปดาห์ เขามั่นใจในสายตาตัวเอง แต่เบสต์ก็ต้องไปพิสูจน์ให้ทุกๆคน ที่อังกฤษรู้ด้วยว่าเขาคือของจริง
เบสต์ตอบตกลง ช่วงกรกฎาคม 1961 เขาเดินทางด้วยเรือ จากไอร์แลนด์เหนือ สู่แมนเชสเตอร์ เพื่อท้าทายว่าตัวเองดีพอไหม กับเกมฟุตบอลระดับสูงที่สุด
เมื่อเบสต์ขึ้นเรือไป บ๊อบ บิช็อป ส่งโทรเลขไปหาแมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขณะนั้น
"ผมคิดว่า ผมหาอัจฉริยะลูกหนังให้คุณได้แล้ว"
จากนั้น เบสต์ เดินทางจากไอร์แลนด์เหนือ มาอังกฤษ เพื่อไปสู่แมนเชสเตอร์ ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาทดสอบฝีเท้า
แต่ยังไม่ทันได้ทดสอบอะไรทั้งสิ้น เบสต์ อยู่อังกฤษได้แค่ 1 วัน ก็นั่งเรือกลับบ้าน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน นักเตะเยาวชนที่สโมสรเชิญมาทดสอบฝีเท้า จะมีสตาฟฟ์ของสโมสรไปรับถึงสนามบิน มีการเปิดโรงแรมห้าดาวให้ดาวรุ่งและครอบครัว ตลอดช่วงเวลาที่ทดสอบฝีเท้า
นั่นเพราะในยุคนี้ นักเตะเยาวชนเก่งๆ ล้วนมีทางเลือกเยอะ สโมสรไหนๆก็ต้องการตัว สโมสรจึงต้องเอาใจใส่ให้มากที่สุด แต่มันไม่ใช่กับในยุค 60 ที่สโมสรไม่ได้ใส่ใจนักเตะดาวรุ่งขนาดนั้น
ทีมใหญ่อย่างแมนฯยูไนเต็ด ในแต่ละปี มีนักเตะดาวรุ่งมาทดสอบฝีเท้าหลายร้อยคนอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหากนักเตะต่างชาติสักคน อยากจะมาทดสอบฝีเท้าก็ต้องใช้เงินตัวเอง หาทางมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดให้ได้
ถ้าหากดาวรุ่งต่างชาติคนไหนหลงทาง และไม่สามารถมาถึงสโมสรได้ พวกเขาก็ไม่สน ก็ปล่อยทิ้งไปเลย
ด้วยความที่ ครอบครัวของเบสต์ยากจน คุณพ่อดิ๊กกี้ กำเงินก้อนสุดท้ายจำนวนไม่กี่ปอนด์ ซื้อตั๋วเรือ ให้จอร์จ เพื่อเดินทางไปทดสอบฝีเท้าด้วยตัวเองลำพัง
เขาเชื่อว่าจอร์จจะทำได้ ลูกชายเขาก็อายุ 15 ปีแล้ว แค่เดินทางไปถึงแมนเชสเตอร์ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
กรกฎาคม 1961 เบสต์ ข้ามเรือจากเบลฟาสต์ มาลงที่ท่าเรือลิเวอร์พูล เขาคาดหวังว่าจะมีใครสักคนมารับ แต่ไม่เลย ไม่มีใครสักคนเดียว
อารมณ์เหมือนเราไปต่างประเทศ คาดหวังว่า ออกจากสนามบินมา จะเจอใครสักคนชูป้าย ต้อนรับเรา แต่ทว่าจอร์จ เบสต์ ไม่เจอใครเลย
เบสต์หอบของพะรุงพะรัง คลำทาง ไปที่สถานีรถไฟลิเวอร์พูล ไลม์ สตรีต แล้วต่อรถไฟไปที่เมืองแมนเชสเตอร์
ก็คาดหวังอีก ว่าที่สถานีรถไฟในแมนเชสเตอร์ อาจจะมีใครสักคนมารับ ซึ่งก็แน่นอน ไม่มี
เบสต์ ขึ้นแท็กซี่ บอกให้ไปส่งที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่แท็กซี่ดันมาไปส่งที่สนามคริกเก็ต เด็กหนุ่มจอร์จ ไม่รู้เลยว่า โอลด์แทรฟฟอร์ดในเมืองแมนเชสเตอร์ มีทั้งสนามฟุตบอล และสนามคริกเก็ต
กว่าจะเดินทางไปถึงสโมสรฟุตบอล เบสต์ ก็เหนื่อยอ่อนถึงขีดสุด ประสบการณ์ครั้งแรกของเขากับประเทศอังกฤษมันมึนงง และวุ่นวายเหลือเกิน
พอไปถึงโอลด์แทรฟฟอร์ด เขามีโอกาสได้เจอกับทีมนักเตะชุดใหญ่ แต่ไม่มีใครคุยกับจอร์จ เบสต์เลยแม้แต่คนเดียว
ขณะที่เรื่องภาษาก็เป็นกำแพงสำคัญ แม้ไอร์แลนด์เหนือ จะใช้ภาษาอังกฤษเชนกัน แต่สำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ ของคนเบลฟาสต์ ทำให้คนอังกฤษจำนวนมาก ไม่รู้เลยว่า จอร์จ เบสต์กำลังพูดอะไรอยู่
สตาฟฟ์สโมสร และชาวเมือง ไม่รู้เรื่องที่เบสต์พยายามจะสื่อสารเลย หลายครั้งเขาต้องใช้วิธีการเขียน ซึ่งก็ตลกดี เพราะเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกันแท้ๆ แต่กลับพูดคุยอะไรกันแทบไม่ได้
หลังจากเดินทางมา 24 ชั่วโมงเต็มๆ สตาฟฟ์ของแมนฯยูไนเต็ด ก็พาจอร์จ เบสต์ไปส่งที่ห้องพัก บริเวณชานเมืองแมนเชสเตอร์ โดยตามโปรแกรม ในวันรุ่งขึ้น เบสต์ต้องไปเริ่มทดสอบฝีเท้ากับทีมเยาวชน
"ผมเป็นแค่เด็กอายุ 15 ที่รู้สึกหลงทาง และเหงา แค่วันแรกผมก็รู้เลย ว่าไม่สามารถเล่นฟุตบอลในอังกฤษได้แน่ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ ว่าไม่เอาแล้ว และขอกลับบ้าน"
เช้าวันรุ่งขึ้น เบสต์ รวบรวมเงินที่เหลือทั้งหมด นั่งรถไฟมาขึ้นเรือ ที่ลิเวอร์พูล และเดินทางกลับเบลฟาสต์ สรุปแล้วเขาออกจากบ้านไม่ถึง 2 วัน ยังไม่ได้เริ่มทดสอบฝีเท้าสักนาทีเดียว เจ้าตัวก็กลับบ้านแล้ว
เขาถึงบ้าน เคาะประตู พ่อแม่พอได้เห็นจอร์จ ก็ตกใจ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกชายของเขา กลับบ้าน
จากวันที่เดินออกจากบ้านไปขึ้นเรือ จนถึงนาทีนี้ มันผ่านไปแค่ 48 ชั่วโมงเองนะ ... จอร์จ ไปก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า?
"ผมคิดถึงบ้าน ผมอยากกลับบ้าน" จอร์จบอกความรู้สึกทันทีที่เจอหน้าพ่อแม่
การที่เบสต์ กลับมาบ้าน สร้างความงุนงง ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างยิ่ง
ไม่เคยมีเคสแบบนี้มาก่อน เพราะนักเตะเยาวชนทุกคน ต่างอยากได้รับโอกาสทดสอบฝีเท้ากับทีมปีศาจแดงทั้งนั้น แต่เบสต์ กลับทิ้งโอกาสนั้น กลับมาไอร์แลนด์เหนือดื้อๆ โดยไม่ลงโชว์ฝีเท้าแม้แต่วันเดียว
โจ อาร์มสตรอง หัวหน้าแมวมองของแมนฯยูไนเต็ด ในยุคนั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะเบสต์กลับมาดื้อๆ ไม่บอกไม่กล่าวใครเลย
เขาโทรไปหาคุณพ่อของจอร์จ ถามอย่างเดือดดาลว่า "ทำไมลูกชายของคุณต้องหนีกลับมา!" มุมมองของอาร์มสตรอง คิดว่าเบสต์ไม่ให้เกียรติทีมเลย
สำหรับคุณพ่อ เขารู้ดีว่าลูกชายทำไม่ถูก ที่กลับมาดื้อๆโดยไม่บอกใคร มันเป็นเรื่องผิดมารยาท และที่สำคัญ จอร์จ กำลังทิ้งโอกาสล้ำค่าในการเป็นนักเตะอาชีพที่สามารถทำรายได้มหาศาลไปต่อหน้าต่อตา
"ผมไปสมัครเป็นลูกจ้าง หนังสือพิมพ์ในเบลฟาสต์เอาไว้แล้ว ถ้าไม่ได้เป็นนักฟุตบอล ผมไปทำงานหาเงินเลยก็ได้" จอร์จ เบสต์ยืนยัน แบบนั้น
ปัญหาของเรื่องนี้ จึงตกมาอยู่ที่คุณพ่อ ดิ๊กกี้ เบสต์ ไม่มีพ่อคนไหน อยากให้ลูกลงเอย เป็นพนักงานค่าแรงขั้นต่ำ ในเมื่อเขามีพรสวรรค์มากพอจะเป็น ซูเปอร์สตาร์ของโลกได้
แต่คำถามคือ เขาจะพูดอย่างไรล่ะ ให้ลูกชายยอมกลับไปทดสอบฝีเท้า ต้องพูดด้วยวิธีไหน?
ถ้าเขาบังคับ และออกคำสั่ง ลูกชายอาจจะต่อต้าน และไม่ยอมทำตามที่พูดเลยก็ได้
โจ อาร์มสตรอง โทรมาอีกครั้ง ถามคุณพ่อดิ๊กกี้ว่า "ทำไมเขาต้องหนีมา ผมต้องการคำตอบ"
คุณพ่อ ตอบกลับไปอย่างใจเย็น โดยเจตนาให้จอร์จได้ยินด้วย ว่า "ผมจะไม่บังคับให้เขาตอบคุณ"
หลังจากโทรศัพท์ครั้งนั้น คุณพ่อไม่พูดถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเลยแม้แต่คำเดียว เขาต้องการให้เวลาลูกชายได้คิดด้วยตัวเอง จะไม่มีการบังคับใดๆเกิดขึ้นทั้งนั้น
เวลาผ่านไป คุณพ่อก็ยังไม่พูดอะไรเลย เกี่ยวกับการที่จอร์จ หนีจากแมนเชสเตอร์ กลับมาบ้าน จนจอร์จ ทนไม่ไหวเอ่ยปากถามเอง ว่าคุยกับ โจ อาร์มสตรองแล้ว ได้ความว่าอย่างไรบ้าง
"เขาก็ผิดหวังน่ะสิ ที่แกทิ้งโอกาสที่ดี" คุณพ่ออธิบาย โดยไม่เอ่ยว่า ให้เบสต์กลับไปแมนเชสเตอร์ แม้แต่คำเดียว
"พ่อรู้ว่า แกไม่เคยออกห่างจากเบลฟาสต์เลย แกเคยไปไกลสุดแค่ชายทะเลของเมืองบังกอร์ที่ห่างจากบ้านไป 20 กิโล แต่นี่ต้องข้ามประเทศไปอยู่คนเดียวแบบนั้น พ่อเข้าใจความรู้สึกนะ"
"แกไม่ได้ทำอะไรผิด ที่กลับมาบ้าน" เขาปลอบประโลมลูกชาย และไม่โทษเลย ที่ลูกเลือกจะทิ้งโอกาสสำคัญไป
จากนั้น คุณพ่อก็ปล่อยเวลาให้ ลูกชายได้คิดด้วยตัวเอง ทั้งสองคน นั่งดื่มชากันเงียบๆที่โต๊ะอาหาร อ่านหนังสือพิมพ์เบลฟาสต์เทเลกราฟด้วยกัน แลกกันอ่านหน้ากีฬา คนละหน้า
แต่ละชั่วโมงผ่านไป จอร์จเอง ก็ค่อยๆเข้าใจว่า โอกาสที่แมนฯยูไนเต็ด มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน และการที่เขาหนีออกมาโดยยังไม่เริ่มสู้ มันไม่เป็นผู้ใหญ่เลย
ยิ่งเขาคิดว่า คุณพ่อคุณแม่ ที่ฐานะก็ไม่ค่อยดี อุตส่าห์เอาเงินเก็บ ให้เขาเดินทางไปอังกฤษแบบนั้น แต่เขากลับทิ้งขว้างโอกาสไปดื้อๆ มันก็คงทำให้คุณพ่อคุณแม่ ผิดหวังด้วย
สำหรับดิ๊กกี้ เขาคอยสังเกตอาการของลูกชายตลอด และ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ จึงพูดขึ้นมา
"จอร์จ แกอยากจะกลับไปที่แมนเชสเตอร์อีกครั้งไหม"
จอร์จคิด หลังจากทบทวนทุกอย่างรอบคอบแล้ว
"อยากครับ"
"แกต้องมั่นใจนะ ว่าต้องการแบบนั้นจริงๆ มาจากใจของแกเอง ไม่ใช่กลับไปเพราะทำเพื่อพ่อ"
"แล้วผมต้องทำแบบไหนล่ะ?"
คุณพ่อให้จอร์จ เขียนจดหมาย 1 ฉบับ ถึงโจ อาร์มสตรอง เพื่อขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกสาเหตุที่หนีกลับมาก่อน รวมถึงความมุ่งมั่น ที่จะกลับไปอีกครั้งแบบเป็นผู้ใหญ่
แน่นอน คุณพ่อย่อมพร้อมสนับสนุนลูกชาย แต่เมื่อเขาทำไม่ถูก ก็ต้องขอโทษกับความผิดของตัวเองด้วย
จอร์จ เบสต์ ส่งจดหมายไปขอโทษแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอธิบายความทุกข์ของเด็กวัย 15 ที่ต้องจากบ้านไปอยู่ต่างแดนลำพังคนเดียว
เขาไม่รู้ว่า แมนฯยูไนเต็ดจะยกโทษให้ไหม แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องการแสดงความจริงใจ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะจดหมายฉบับนั้นหรือเปล่า เพราะในไม่กี่วันต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่ง ตั๋วเครื่องบิน เดินทางจากเบลฟาสต์ ถึงแมนเชสเตอร์ มาให้เบสต์
เมื่อเด็กสำนึกผิด และเสียใจแล้ว โจ อาร์มสตรอง จึงพร้อมให้โอกาสเบสต์อีกครั้ง
คราวนี้ เบสต์ ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมืออีกแล้ว เขาไม่ยอมแพ้กับอาการคิดถึงบ้าน เขามุ่งมั่นสู้ต่อ เพื่อให้โค้ชทีมเยาวชนปีศาจแดง ยอมรับเขาให้ได้
และในที่สุด เบสต์ก็ชนะใจแมนฯยูไนเต็ด เขาได้รับสัญญานักเตะเยาวชน ได้รับค่าจ้าง 4 ปอนด์ต่อสัปดาห์
เบสต์ ส่งเงินให้พ่อแม่สัปดาห์ละ 3 ปอนด์ เขาเก็บไว้ใช้ 1 ปอนด์ ซึ่งก็ถือว่ามากเกินพอ เพราะสโมสรจ่ายให้ทุกอย่างทั้งค่าที่พัก และค่าอาหาร
พอได้รับสัญญาเยาวชน อีก 2 ปีต่อมา ในวัย 17 เขาก็ได้รับสัญญาอาชีพ
และจากนั้นมา ทั้งโลก ก็ไม่มีใคร ไม่รู้จักเด็กหนุ่มจากเบลฟาสต์คนนี้อีกต่อไป
#GeorgeBEST
21 บันทึก
227
10
11
21
227
10
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย