18 มิ.ย. 2019 เวลา 04:55 • การศึกษา
ทำยังไงให้ภาษาอังกฤษใช้งานได้จริงๆ
เมื่อวานมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยประถมหรืออาจจะตั้งแต่อนุบาลนี่ละ ซึ่งตอนนี้เธอเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าเธอเก่งภาษาอังกฤษมากๆ ถ้าถามเพื่อนๆว่าใครเก่งภาษาอังกฤษที่สุดเชื่อว่าชื่อแรกก็ต้องเป็น “แป้ง” แป้งยืนหนึ่งเรื่องทักษะภาษาอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร สอบแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษก็เคยได้อันดับ 1 ของประเทศ ได้ทุนเรียนฟรีก็เพราะภาษาอังกฤษ
หลายๆคนที่รู้จักแป้ง ก็อาจจะคิดว่าแน่ละเธอมันมีพรสวรรค์ด้านนี้ แต่สำหรับผมพรสวรรค์ของเธออาจจะแค่ 1ใน10 ส่วน และอีก 9 ส่วนนั้นมาจาก ความหลงใหล(passion) และความมุ่งมานะ (perseverance)ล้วนๆ เวลาคุณทำอะไรด้วยแพชชั่นคุณมักจะทำมันได้ดีและโดดเด่นเสมอ นั้นละเพื่อนผมที่ชื่อแป้ง
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนผมมีโอกาสได้ outing กับเพื่อนๆสมัยมัธยม เราดื่มกันจนเมาและแป้งก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษไม่หยุด มันอาจฟังดูตลกสำหรับคนอื่นแต่สำหรับผม “ผมทึ่ง” ภาพตอนสมัย ม.3 ย้อนกลับมาในหัวผมเลยตอนนั้นเธอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ผมฟังด้วยสำเนียงแบบอเมริกัน ตอนนั้นเธอยังไม่เก่งขนาดนี้ สำหรับคนที่เกิดในยุค 90 แน่นอนว่าสิ่งที่แป้งทำได้มันคือ “ความสามารถพิเศษ” คนรุ่นผมอาจจะมีแค่ 3ใน10 คนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้จริงๆ และเรื่องราวในวันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นการฝึกภาษาอังกฤษให้มันใช้งานได้จริงๆของผม
ทำไมผมถึงใช้คำว่า “ภาษาอังกฤษที่ใช้งานได้จริงๆ” น่ะหรอ ต้องท้าวความก่อนว่า สมัยผมเด็กๆวิชาภาษาอังกฤษยังไม่ใช่วิชาบังคับคือไม่มีการตัดเกรด มีแค่ผ่านและไม่ผ่าน ผมได้คะแนน 50 จาก 100 คะแนนเกือบทุกเทอม จริงๆไม่ถึงหรอกครูช่วยให้ผมผ่านเกณฑ์เฉยๆ ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมเราไม่เข้าใจเหมือนเพื่อนๆ จนโตมาก็เริ่มเข้าใจตัวเองว่า ผมไม่ชอบอะไรที่ต้องจำก่อนแล้วไปทำความเข้าใจทีหลัง ถ้าให้ยกตัวอย่างก็เช่น ตารางธาตุเคมี ผมมักจะจำมันได้หลังจากได้ทำความเข้าใจหรือนำเอาสิ่งนั้นๆไปใช้จริงๆแล้ว
กลับมาที่เรื่องภาษาอังกฤษ สมัยนั้นหรืออาจจะรวมถึงปัจจุบัน เราเรียนภาษาอังกฤษแบบ เขียน อ่าน พูด ฟัง ซึ่งมันอาจจะใช้ได้กับบางคน แต่มันไม่ใช่ผม มันฝืนธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์มากๆ เพราะเด็กทารกแรกเกิดเริ่มเรียนภาษาใดๆก็ตามที่พ่อแม่สอนเริ่มจาก การฟัง พูด แล้วจึง อ่าน เขียน มาถึงตรงนี้คุณน่าจะพอนึกภาพออกแล้วละ หลายๆคนจึงเก่งเรื่องแกรมม่า เก่งเรื่องโครงสร้างทางภาษา แต่นำมันมาใช้จริงๆไม่ได้
ผมจึงเริ่มฝึกภาษาอังกฤษจากการฟัง ผมฟัง podcast ภาษาอังกฤษก่อนนอนทุกคืน และเปิดมันไว้ยันเช้า ดูหนังแบบ soundtrack และไม่เปิด subtitle เวลาขับรถก็ฟังวิทยุที่เป็นข่าวภาษาอังกฤษ โดยที่ผมฟังไม่ออกและไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียวว่าเขาพูดอะไร ผมทำแบบนี้อยู่ประมาณ 6-8 เดือนจนเริ่มฟังออก แยกได้ว่าเขาออกเสียงอย่างไร เข้าใจจังหวังการออกเสียงมากขึ้น แต่โดยรวมก็ยังไม่เข้าใจความหมาย คล้ายกับการฟังภาษาบาลีที่เรารู้ว่าเขาออกเสียงอะไร แต่ไม่เข้าใจความหมายนั้นละ
หลังจากนั้นผมเริ่มดูวิดีโอสอนภาษาอังกฤษที่สอนโดยเจ้าของภาษา (native speaker) และผมก็เริ่มมองสิ่งของรอบๆตัวเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เริ่มแต่งประโยคเป็นภาษาอังกฤษในใจ เช่นตอนนี้ “Now, I am writing an article about Englinsh learning” ผมยังคงฟัง podcast ควบคู่ไปด้วยอีกหลายเดือน จนเริ่มเข้าใจเนื้อหาที่กำลังฟังอยู่ แต่!!!! ในหัวผมยังเกิดกระบวนการแปลจากอังกฤษเป็นไทย และผมก็ยังคงฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆโดยที่ผมไม่เคยไปต่างประเทศเลยเป็นเวลาประมาณ 3 ปี
ผมเริ่มเข้าใจภาษาอังกฤษโดยที่สมองผมไม่ต้องแปลจากอังกฤษเป็นไทย และเริ่มฝันเป็นภาษาอังกฤษ ฟังดูแปลกแต่เชื่อเถอะมันเกิดขึ้นกับทุกคนที่ฝึกภาษาอังกฤษถึงระดับหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่ากระบวนการนี้มันเริ่มขึ้นตอนไหนแต่สิ่งที่ผมพยายามทำมา มันเริ่มเห็นผลชัดขึ้นๆ ผมเริ่มออกเสียงตามสิ่งที่ผมฟังเพื่อฝึกการพูด
เวลาผ่านไปประมาณ 5 ปีนับตั้งแต่ผมเริ่มฝึกถามว่าผมได้อะไรกลับมา? สำหรับมนุษย์เงินเดือนแบบผม มันทำให้ผมได้ทำงานดีๆ เงินเดือนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้ทำงานเป็น expat engineer ทำโปรเจคในต่างประเทศที่มีเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติที่มาจากหลายประเทศทั่วโลก และทุกวันนี้ผมก็ทำงานในบริษัทข้ามชาติจากยุโรปได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ภาษาอังกฤษสำหรับผมมันคือกุญแจสู่ประตูอีกบาน และแน่นอนมันแลกมาด้วยความพยายาม (Grit)
ผมฟัง podcast จาก : www.teacherluke.co.uk (น่าจะฟังไปเกิน 200 EP)
และเรียน Grammar จาก : www.engvid.com (โดยเฉพาะ Ronnie และ Emma)
คราวหน้าผมจะมาแบ่งปันว่าเราจะพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้ยังไง #คิดวิเคราะห์แยกแยะ
โฆษณา