18 มิ.ย. 2019 เวลา 13:01 • ประวัติศาสตร์
เห็นช่วงนี้ที่ไทยเรากำลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นรัฐบาลเผด็จการกันอย่างหนาหูหนาตา ผมเลยจะมาชวนคุยถึงโจทย์สำคัญๆว่า ทำอย่างไรให้รัฐบาลเผด็จการหรือประเทศที่มีแนวคิดเผด็จการนั้นอยู่รอดได้ภายในศตวรรษที่ 21 ในช่วงที่มีทั้งกระแสเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt แทรกแซง เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับกระบวนทัศน์ (paradigm shift) มากมาย ปัจจัยใด และสาเหตุ เหตุผล หรือตรรกะวิสัยทัศน์ในรูปแบบใดที่จะช่วยนำพาให้รัฐเผด็จการสามารถปฏิบัติการให้อยู่รอดได้
รัฐบาลจีนก็เป็นหนึ่งในรัฐบาลเผด็จการที่มีความสามารถในการอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีวันใดเลยที่จะถูกสั่นคลอนด้วยระบอบประชาธิปไตย และแนวคิดประชาธิปไตยก็เข้าไม่ถึงประเทศจีนอีกด้วย (เพราะเมื่อใดที่ประชาธิปไตยเข้าถึงจีนได้ เมื่อนั้นย่อมแปลว่าพรรคคอมมิวนิสต์กำลังมีปัญหา)
วันนี้ผมเลยพยายามรวบรวมจุดเด่น และปัจจัยสำคัญๆที่ทำให้รัฐบาลจีนยังสามารถคงความเป็นรัฐเผด็จการจากอดีตตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในช่วงประมาณ 100 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันนี้
จีนทำได้อย่างไร และมีเทคนิคอย่างไรในการบริหารประเทศ จนผ่านร้อนผ่านหนาวมากับพรรคพรรคเดียว อย่าง CCP (China’s Communist Party) จากที่ผมศึกษาและรวบรวมมาจาก Textbook หลายๆเล่ม ทำให้พอจะลิสต์ออกมาเป็น concept ได้ดังต่อไปนี้
1. Directed Improvisation – การด้นสดผ่านการทดลอง จีนนี่เป็นประเทศที่เก่งด้านการทดลองมากๆ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ Deng Xiaoping เริ่มเข้ามาบริหารพรรคแทนที่ Mao Zedong แล้วได้พยายามเปิดประเทศเข้าสู่โลกสากล และการติดต่อระหว่างประเทศมากขึ้นในภายหลัง พร้อมๆกับการดึงเอาขุนพลทางด้านเศรษฐกิจอย่าง Zhao Ziyang ขึ้นมาเป็น nominee ของตนภายในคณะกรรมการบริหารระดับสูงของพรรค เพื่อทำการปฏิรูปเศรษฐกิจ
โดยการลองให้ Zhao นำเอาโมเดลการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ Zhao เคยทดลองทำไว้ที่เมืองเสฉวนในช่วงปี 1970s ไปทดลองใช้กับเมืองและมณฑลอื่นๆภายในจีนต่อไป (จีนทดลองเก่งนะ สมัย Deng เรียนจบจากฝรั่งเศสใหม่ๆก็กลับมาช่วย Mao พัฒนาเมืองคอมมิวนิสต์จำลองที่เจียงซี) พูดง่ายๆก็คือ จีนเป็นประเทศขนาดใหญ่ การจะนำนโยบายใดๆมาปรับใช้จึงต้องเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆในระดับเมือง ระดับมณฑลก่อน เพื่อประเมินว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนจะนำมาปรับใช้กับทั่วประเทศ
2. Pervasive Reach – การกระจายตัวอย่างทั่วถึงของกลไกพรรคคอมมิวนิสต์และระบบราชการที่มีลักษณะการกระจายอำนาจ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ช่วยทำให้พรรคสามารถปรับตัว และวิวัฒนาการตัวเองให้อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะพรรคสามารถปรับตัวให้เข้าถึงองค์กร ชนบท ชุมชนทุกชุมชนได้ รัฐบาลท้องถิ่นได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลกลางให้สามารถนำนโยบายอะไรก็ได้มาใช้กับท้องถิ่นของตนเองเพื่อพัฒนาคน พัฒนาเศรษฐกิจอย่างอิสระ หน่วยราชการหรือรัฐบาลท้องถิ่นแห่งใดไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าให้บ้านเมืองได้ก็จะโดนเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางลงโทษ (คนที่จะโดนหนักที่สุดคือ ประธานสาขาของพรรคในมณฑลหรือเมืองนั้นๆ)
3. Grand Strategy – จีนอยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะจีนมี Grand Strategy หรือ มหายุทธศาสตร์ ซึ่งหมายถึง แผนการดำเนินนโยบายในระยะยาว (คล้ายๆยุทธศาสตร์ชาติ) เพื่อเป็นแนวทางและเป้าหมายให้แก่รัฐบาลในการบริหารจัดการงานเชิงนโยบายทั้งในระดับภายในประเทศและในระดับระหว่างประเทศ จีนมี Grand Strategy มาตลอดตั้งแต่ช่วงก่อตั้งประเทศ เช่น ของ Mao ก็คือ ยุทธศาสตร์ Great Leap Forward ของ Deng ก็เป็น Four Modernization ส่วนของ Xi Jinping ในปัจจุบันก็มี Chinese Dream ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนหมุดหมายของการพัฒนาให้แก่ตัวรัฐบาลและตัวพรรคในการเลือกที่จะพัฒนาส่วนใด หรือ เน้นสร้างส่วนใดให้ก้าวหน้ามากขึ้น
4. Conservative Defender – จีนมีบทบาทสำคัญในสหประชาชาติในฐานะผู้นำของโลกฝั่งของอนุรักษ์นิยม คอยเป็นปากเสียงให้รัฐบาลเผด็จการและรัฐบาลฝ่ายขวาทั่วโลก จีนมักคัดค้านมติของสหประชาชาติในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเสมอๆ รวมถึงการคัดค้านมติสหประชาชาติที่อนุญาตให้มีการแทรกแซงประเทศเผด็จการ โดยจีนจะใช้อำนาจ VETO เพื่อคัดค้านมติเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา (กล่าวคือ เป็นปากเสียง และพยายามตั้งตัวเป็นลูกพี่ให้แก่ประเทศมาเฟียทั้งหลาย) แต่ก็มีบางกรณีที่จีนไม่ได้ปกป้อง เช่น กรณีเกาหลีเหนือ กรณีอิหร่าน และกรณีลิเบีย แต่โดยรวมแล้วจีนยังพยายามปกป้องหลายๆประเทศอยู่ อย่างล่าสุดก็กรณีโรฮิงญาที่พม่า ที่จีนจะคอยป้องกันไม่ให้สหประชาชาติหรือรัฐบาลตะวันตกเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในพม่า
5. Alternative Banking Practice – จีนมีระบบระเบียบและกติกาของการให้กู้ยืมเงินที่แตกต่างจากโลกตะวันตก อย่างที่เคยอภิปรายไว้ก่อนแล้วในกระทู้ก่อนๆ จีนมักพยายามใช้เทคนิคให้เงินกู้โดยไม่มีเงื่อนไข (loans) ให้เงินเปล่าๆ (grant) และมีมาตรการลดหย่อนผ่อนหนี้ หรือ ยกเลิกหนี้ให้แก่ประเทศลูกหนี้เพื่อเอาใจหรือเป็นการจูงใจให้ลูกหนี้กลับมากู้เงินอีกในอนาคต
โดยไม่ได้ตั้งเงื่อนไขผูกมัด แบบรัฐบาลตะวันตกที่ก่อนการออกเงินกู้มักจะมีการยื่นเงื่อนไขการกู้ยืมว่าประเทศผู้กู้เงินจะต้องปรับตัวเองให้เป็นประชาธิปไตย นำหลักนิติรัฐมาใช้บริหาร นำหลักธรรมาภิบาลมาประกอบการปกครอง ฯลฯ ซึ่งจีนไม่ได้ตั้งเงื่อนไขดังกล่าว การกู้เงินจากจีนจึงดูมีลักษณะที่ลื่นใหลและสะดวกกว่าการกู้จาก IMF และธนาคารโลก (ที่สำคัญเวลาจีนทำธุรกรรมกับประเทศที่ด้อยกว่า มักทำในลักษณะ MOU ที่เป็นเพียงข้อตกลง ไม่ได้ทำสนธิสัญญาอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้สามารถซิกแซกและปรับเปลี่ยนข้อตกลงกันได้อย่างยืดหยุ่นอิสระมากขึ้นหากทั้งสองฝ่ายยินดีจะแก้ไข)
6. Bypassing the West – อีกประการหนึ่งที่จีนพยายามทำคือ ลดการพึ่งพาโลกตะวันตกในเชิงองค์กรโลกบาล คือสร้างสหประชาชาติ (Shanghai Cooperation Organization) สร้างธนาคารโลก (Asian Infrastructure Investment Bank) สร้างศาลโลก (China International Commercial Court) ในเวอร์ชั่นจีนแดงขึ้นมาแทนที่สิ่งที่รัฐบาลโลกตะวันตกสร้างขึ้นมาไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะรวบรวมเสียงสนับสนุน และก่ออิทธิพลรวมถึงสร้างกฎกติกาของตนเองขึ้นมาใช้ในฐานะทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้ที่ต้องการลดการพึ่งพิงรัฐบาลโลกตะวันตก
7. AI Master - จีนพัฒนาระบบ AI และระบบ Software การจดจำใบหน้าขึ้นมาเป็นของตนเองเพื่อควบคุม กักกัน ตรวจสอบประชาชนของตนเอง กลายเป็นรัฐเผด็จการแบบดิจิตอลไปในที่สุด ประชาชนของจีนสมัยนี้จะทำการประท้วงทำไม่ได้แล้วนะ มีระบบคะแนนจิตพิสัย ใครประท้วงโดนตัดคะแนน ใครวิจารณ์รัฐบาลโดนตัดคะแนน ถ้ายังเป็นพลเมืองของจีนอยู่ ก็แทบไม่มีใครอยากทำอะไรที่เสี่ยงกับการโดนตัดคะแนนแล้ว เพราะหากคะแนนน้อยก็ขึ้นเครื่องบินไม่ได้ หรือทำอย่างอื่นๆไม่ได้ ที่สำคัญคือ ตอนนี้จีนเริ่มนำระบบ AI เผด็จการเหล่านั้นเผยแพร่และขยายออกไปขายยังรัฐบาลประเทศอื่นๆหลายประเทศแล้วในปัจจุบัน (เช่น Ecuador, Iran, Kenya, และ Zimbabwe) และมีแนวโน้มจะมีรัฐบาลอื่นๆเข้ามาซื้อระบบ AI นี้ไปติดตั้งในประเทศ (ลองคิดดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หากมีหลายประเทศซื้อ AI ที่ติด Spyware ของจีนไปใช้ในประเทศตนเอง)
8. Internet Blocker - จีนมีวิธีการป้องกันความแตกแยกและความคิดเห็นที่ต่อต้านรัฐบาลโดยการบล็อคอินเตอร์เน็ตจากโลกภายนอก แต่นั้นไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน หากคุณปิด Facebook โดยไม่ได้สร้างอะไรมาไว้ทดแทน Facebook ดังนั้นจีนจึงสร้าง Weibo สร้าง WeChat สร้างระบบและ App ต่างๆขึ้นมาแทนที่สิ่งที่รัฐบาลบล็อคไป แอพ TikTok คือความสำเร็จประการหนึ่งที่ดันฮิตไปทั่วโลกด้วย
9. Sharp Power – รัฐบาลจีนมีวิสัยทัศน์ด้านสื่อค่อนข้างดี คือสนับสนุนสื่อของรัฐบาล และมีการให้เงินสนับสนุนด้านสื่ออย่างมหาศาล ทั้ง สำนักข่าว หนังสือพิมพ์ (ทั้งภายในจีนและหนังสือพิมพ์ของต่างประเทศ) เพื่อให้ลงข่าวด้านดีเกี่ยวกับจีนเยอะๆ โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของจีนและรัฐบาลพรรค CCP มากไปกว่านั้น จีนยังมีสถาบันที่คอยสอนภาษาจีนอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็คือ สถาบันขงจื๊อ ที่แทรกตัวอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆในหลายๆประเทศทั่วโลก เพื่อทำการเผยแพร่และสอนเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมอันดีงามของจีน และสนับสนุนงานวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับจีน
10. Internment Camps – จีนมีการตั้งค่ายปรับทัศนคติขึ้นสำหรับชาวมุสลิมในแถบซินเจียงให้เลิกเป็นมุสลิม แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาคอมมิวนิสต์แทน ศึกษาลัทธิ Mao ลัทธิ Deng ลัทธิบูชาผู้นำ Xi เป็นต้น บางกลุ่มก็อาจจะโดนทำร้าย โดนทรมาน ทั้งหมดก็เพื่อการป้องกันการแตกแยกภายในประเทศไม่ให้มีคนภายนอกมีโอกาสเข้ามาสร้างความปั่นป่วน (ในทัศนะของพรรค CCP จีน)
หวังว่าคงพอจะเข้าใจกันได้ง่ายขึ้นว่า จีนทำอย่างไรถึงสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ภายในระบบเผด็จการมาจนถึงทุกวันนี้นะครับ ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และหากประเทศใดจะเลียนแบบก็ควรจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยความเป็นไปได้ให้ถี่ถ้วน เพราะทั้งหมดที่จีนสามารถทำได้นี้มันขึ้นอยู่กับ ‘งบประมาณ’ เป็นสำคัญ คือ มีเงินก็ทำได้นั่นแหละ แต่ผมบอกได้เลยว่าเลียนแบบกันยาก ของแบบนี้ มันมีเงื่อนไขและสภาพปัจจัยที่แตกต่างกันหลายจุดที่ทำให้เลียนแบบกันยาก ดังนั้นถ้ารัฐบาลเผด็จการอยากเอาตัวรอดในศตวรรษที่ 21 ผมคิดว่า 10 ข้อคิดจากจีนนี้ ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี หากอยากจะปรับตัว
ปล. ที่อภิปรายมาข้างต้นนี้ไม่ได้บอกว่ามันเป็น 'Model' สำหรับให้ประเทศอื่นปฏิบัติตามนะครับ เป็นแค่บทเรียน และกรณีศึกษา ที่ทำแล้วอาจจะสำเร็จในจีน แต่อาจไม่สำเร็จในประเทศอื่นก็เป็นได้ แต่สุดท้ายแล้ว 'ความสำเร็จ' มันเป็น subjective ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลใดต้องการให้เป็นแบบไหน ในปัจจุบันรัฐบาลจีนเขามองตัวเองว่าสำเร็จในระดับที่ดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว จากการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดี และนักวิชาการจากจีนหลายๆท่าน
*** ส่วนภายในลึกๆแล้วจะเป็นอย่างไรต้องรอทุกๆท่านพิจารณากันเอาต่อเอง
โฆษณา