คือการเป็นมากกว่าแค่จินตนาการภาพงานที่จะ deliver ไว้ในหัว ว่าถ้าฉันทำงานนั้นเสร็จ หน้าตามันจะออกมาเป็นยังไง แต่คำว่า Begin with the end in mind คือการมองให้ลึกกว่านั้น คือ เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งเราอยากให้คนอื่นพูดถึงมันยังไง เราอยากจะส่งต่อให้คนอื่นอย่างไร
ในหนังสือ7 habits of highly effectively people ได้เปรียบเทียบถึงงานศพตัวเอง เมื่อคุณตายไปแล้วคนอื่นจะพูดถึงคุณยังไงบ้าง มันทำให้เรานึกถึง value ของเรา ลูกหลาน เพื่อนฝูง ครอบครัว คนเหล่านั้นเขาจะพูดถึงเรายังไง End ในที่นี้ไม่ได้ถึงงานแต่หมายถึงชีวิตของเรา ที่อยากให้คนอื่นพูดแม้วันที่เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เวลาจะตัดสินใจอะไร ถ้าเรานึกถึง begin with the end in mind เราจะคิดได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร เพราะไม่อยากให้ตอนจบคนพูดถึงเราแบบนั้น
ชีวิตมี 2 แบบ ได้แก่ 1. By design และ 2. By default เราเลือกออกแบบมันได้ ซึ่งเราอาจมีบางอย่างที่ฝังหัวเรามาตั้งแต่เด็ก เป็น Script ที่พ่อแม่ สังคม คนรอบตัวเขียนให้เรา ว่าเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ถ้าภาพในหัวเราชัด เราจะสามารถเขียนบทชีวิตเราใหม่ได้ (Rescript) มันได้ เพราะฉะนั้น Design your Life ของตัวเองซะ
สิ่งที่ดีที่สุดคือ Principle-Centered คือยึดหลักการที่ถูกต้องเป็น Center เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง 2 อย่าง ก็จะพยายามหาสมดุลที่ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย และไม่ขัดต่อภาพสุดท้ายที่มองเห็นไว้
เราควรมี Mission Statement เพื่อระบุสิ่งเป็น the end in mind ของเรา และควรแบ่งตาม role ต่าง ๆ ในชีวิต เช่น ถ้าชีวิตนี้เราเป็นพ่อ เป็นเจ้านาย เป็นลูก เราก็ควรระบุให้ครบว่า เราเป็นพ่อแบบไหน เป็นเจ้านายยังไง เป็นลูกยังไง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราที่ร่วมงานกับผู้อื่น ต้องยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน และพยายามมองว่าความแตกต่างนั้นน่าจะมีประโยชน์ และนำข้อดีของความแตกต่างนั้นมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้ด้วยกันเพื่อทำให้เกิดการพัฒนาการทำงาน พูดง่ายๆก็คือ การหยิบเอาสิ่งดีๆมาขยายให้ใหญ่ขึ้นนั้นเอง If you want to go fast, go alone. If you want to go far, team up!