30 มิ.ย. 2019 เวลา 09:13 • ธุรกิจ
น้ำหมักบ๊วย"สวิทไวน์​" โอท๊อปสร้างรายได้...ที่ทำไม่ได้
ด้วยหน้าที่การงานของผมที่ต้องเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ตลอดเวลา วันหนึ่งผมขึ้นเหนือไปช่วงต้นบ๊วยออกผล..ลูกมันเยอะเยอะเต็มต้นไปหมด
ผมจึงได้มีโอกาสคุยกับชาวบ้านบนดอยแถบปางขอน​ เชียงราย และได้ทราบถึงวิธีการทำน้ำหมักบ๊วยชีวภาพ และได้ลองชิม สูตรที่ชาวบ้านหมักไว้
คือมันดีหอมนุ่ม​ กลิ่นบ้วยอ่อนๆบวกรสชาติ​เปรี้ยวติดลิ้น​ มีหวานเจือปน​ ที่เกิดจากการทำปฎิกิริยา​ระหว่าง​ยีสต์​กับน้ำตาลผลไม้ที่อยู่ในเนื้อผลบ้วย​ทำให้รสสัมผัส​ละมุน​นุ่มลิ้น
วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก แต่รสชาติมันเทียบได้ระดับพรีเมี่ยม​ของแพงขึ้นห้างกันเลยทีเดียว วันนี้ผมเอาวิธีหมักมาฝาก
เอาบ้วยสกแก่จัดกำลังสุก​ มาล้างน้ำให้สะอาด​ ต้มน้ำร้อนใส่น้ำตาลคนให้ละลายปล่อยทิ้งไว้ไห้น้ำอุ่นๆ​ เอาบ้วยที่ล้างแล้ว​ เทลงหม้อต้ม​ จากนั้นปล่อยให้เย็น​ แล้วเอาใส่ถังหมัก​ แล้วใส่ยิสต์ลงไป​ ทิ้งไว้​ 1 เดือน​ เอาออกมาจิบ​ มันคือสวีทไวน์
แว๊บนึง!!! ที่ผมคิดได้คือ ถ้าชาวบ้านสามารถผลิต และหาตลาดได้ คงสร้างร้ายได้ให้กับชาวบ้านแถวนี้ไม่ใช่น้อย
ผมค้นๆศึกษาแนวทาง หาวิธีขาย หวังอยากช่วยให้เป็นเหมือนวิสาหกิจ​ชุมชน​ แต่ติดข้อกฏหมาย​ ชาวบ้านเลยทำไม่ได้​ เพราะในน้ำหมักจะเกิดแอลกอฮอล์​ขึ้นมา​ ทำให้ต้องจดทะเบียนการค้า​ที่เป็นเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์​
เจอกำแพงภาษีของไทย​ คือผู้ผลิต​ ตายเลย ทำมีแต่จะขาดทุน ทั้งที่ต้นทุนก็ไม่ได้มากมายอะไร แถมวัถุดิบก็มีมากมายอยู่ในพื้นที่
กฎหมายหลายๆอย่างที่กีดกันมีไว้เพื่อนายทุน .... สุดท้ายภูมิปัญญา​ชาวบ้านจะสูญหาย
ท้ายนี้ผมแค่เสียดายรสชาติไวส์บ้วยที่รสชาติมันนุ่มละมุนลิ้นในราคาที่เราจับต้องได้ เสียดายจริงๆครับ ที่ต้องพับโครงการไป
ส่วนตัวผมคิดว่า​ ถ้าภาครัฐ​อยากช่วยส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการ​เกษตรควรพิจารณา​ข้อกฎหมาย​ตรงนี้​ เพราะทุกวันนี้บ้วยสดตกกิโลกรัม​ละ​ 5 บาท​ ชาวบ้านบอกไม่คุ้มค่าเก็บต้องปล่อยร่วงทิ้ง​ แต่ถ้าชาวบ้านสามารถ​นำมาทำเป็นสินค้าได้...มูลค่าบ้วยสดอาจพุ่งไปถึงกิโลกรัมละ​100 ได้​
แทนที่เราจะนำเข้าหรือซื้อหาเหล้าบ้วยแพงๆจากญี่ปุ่น​ มาสนับสนุนเกษตร​ไทยดีกว่าครับ​ แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือ​ ตอนนี้ชาวบ้านที่ทำแค่ดื่มเองยังผิดกฏหมายเลยครับ😣
#หนอนน้อยนักลงทุน
โฆษณา