และเนื่องมาจากในปัจจุบันนั้น ภาคการผลิตของจีนเริ่มที่จะชะลอตัว และ ประเทศกำลังมองไปสู่อนาคต ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งการนำเอา AI หรือ ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยนั้นอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนในยุคต่อไป ในขณะที่โลกตะวันตกมองว่า AI นั้นจะเข้ามาแย่งงานคน จีนกลับมองในทางตรงกันข้าม จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลว่าจะให้จีนสามารถพัฒนา AI ได้เทียบเท่าเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกภายในสามปี โดยให้เหล่านักวิจัยทางด้าน AI ของจีนนั้น ทำการวิจัย AI ที่จะสร้างความเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ ภายในปี 2025 และ ภายในปี 2030 นั้นโลกจะต้องตกตะลึงกับเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน
ซึ่งสิ่งที่กล่าวนั้นมีปัจจัยสนับสนุนที่ดีที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้ ในช่วงต้นปี 2000 นั้น จีนเคยกล่าวไว้ว่าต้องการสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง เพื่อที่จะกระตุ้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งของประเทศครั้งยิ่งใหญ่ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าจีน ที่แทบจะยังไม่มีเทคโนโลยีทางด้านรถไฟความเร็วสูงจะทำได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า จีนเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่ง Andrew Ng ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเป็นผู้ดูแล ยุทธศาสตร์ทางด้าน AI ของบริษัท online ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Baidu ได้กล่าวเอาไว้ว่า “นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับทุกคนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นได้”
ซึ่งการเข้ามา action ของรัฐบาลจีนนั้นจะเป็นตัวเร่งที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้เร็วขึ้น ซึ่งบริษัทด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของจีน ที่นำโดย Baidu , Alibaba และ Tencent นั้นกำลังจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และมีการลงทุนในการสร้างศูนย์วิจัยใหม่ ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับบริษัทางตะวันตกอย่าง Amazon , Google หรือ Microsoft และยังมีแหล่งเงินทุนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน เนื่องจาก ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่าง ๆ ในจีนนั้น มองว่า AI เป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ประเทศจีนนั้นมีข้อได้เปรียบบางอย่างในเทคโนโลยีด้าน AI ประเทศจีนมีวิศวกร และ นักวิทยาศาสตร์ ที่มีพรสวรรค์มากมาย นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยข้อมูลที่สำคัญในการ Train ระบบ AI เนื่องจากข้อมูลมหาศาลผ่านระบบ internet ในจีนโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 คือ Baidu , Alibaba และ Tencent ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ที่ไม่มีในประเทศอื่นอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะเห็นได้จากการเติบโตของระบบจดจำใบหน้าผ่าน Machine Learning ซึ่งตอนนี้จีนนั้นสามารถ implement ที่จะให้สามารถระบุตัวตนพนักงาน รวมถึงลูกค้าในร้านค้า และทำการยืนยันตัวตนผ่าน mobile apps ได้สำเร็จแล้ว
ความสนใจจากทั่วประเทศในการแข่งขันไพ่ poker ที่ไห่หนาน สะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของประเทศจีนต่อการค้นพบนวัตกรรมใหม่ทางด้าน AI เนื่องจาก poker นั้นไม่เหมือนเกมส์อื่นๆ poker นั้นเล่นกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด และความไม่แน่นอน และพฤติกรรมที่ไม่อาจคาดเดาจากฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการที่จะประสบความสำเร็จกับการเล่น Poker นั้นจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ง่ายเลยที่จะพัฒนา AI ให้เก่งในเกมส์ Poker ซึ่ง “Lengpudashi” นั้นสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้คนต่างทึ่งในความสามารถของมัน ซึ่งการพัฒนา AI มาเล่น Poker นั้นยังสามารถไปปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ เช่น การเจรจาทางธุรกิจ หรือ การเจรจาทางด้านการเงิน ที่อาจจะสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้เกิดขึ้นได้
Look East
หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญของเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน คือ Kai-Fu Lee ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ เป็นผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยี AI ที่สำคัญของประเทศจีน และเป็นหนึ่งในผู้จัดการแข่งขัน poker tournament ขึ้นที่ ไห่หนาน โดยเขาได้มารับสมัครนักศึกษาใหม่ ของสถานบันการศึกษาที่บริษัท Sinovation Ventures ของเขากำลังก่อสร้างขึ้นที่เมืองหลวงของจีนที่ปักกิ่ง
Kai Fu Lee ผู้มีบทบาทกับ AI ของจีน
โดย Lee ได้ทำการพูดคุยกับนักเรียนจีนประมาณ 300 คนในหอประชุมใน poker tournament ดังกล่าว โดยการพูดคุยนี้มีความเกี่ยวข้องกับกับเทคโนโลยีทางด้าน AI ประสิทธิภาพทางด้านการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน รวมถึง อัลกอริธึมใหม่ ๆ ที่แสนฉลาด รวมถึง Big Data ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่าจีนจะสามารถสร้างประโยชน์จากความก้าวหน้าเหล่านี้ได้เต็มที่อย่างแน่นอน
Lee ได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้ว่าในสหรัฐและแคนาดานั้นจะมีนักวิจัยทางด้าน AI ที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม แต่จีนก็มีเหล่านักวิจัยหลายร้อยคนที่สามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู้นักวิจัยจากตะวันตกได้ ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า AI นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ดี ที่จะพัฒนาอัลกอริธึมและข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันได้ซึ่งยิ่งมีข้อมูลจำนวนมากเท่าไหร่ในการ Train AI นั้นก็จะทำให้เกิดความแตกต่างได้มากขึ้น
ในปี 1998 นั้น Lee ได้ก่อตั้งห้องวิจัยของบริษัทไมโครซอฟท์ ในกรุงปักกิ่ง จากนั้นในปี 2005 เขาก็ได้กลายเป็นประธานคนแรกของ Google China ซึ่ง Lee มีชื่อเสียงในด้านการให้คำปรึกษาแก่เหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเขามีผู้ติดตามกว่า 50 ล้านคนใน social network ของจีนอย่าง Sina Weibo
ซึ่งเป้าหมายใหญ่นั้น ไม่ใช่การคิดค้น new Alphago แต่เป็นการยกระดับบริษัทหลายพันบริษัทในจีนโดยใช้เทคโนโลยีของ AI ซึ่งลีได้กล่าวไว้ว่า ธุรกิจของชาวจีนจำนวนมาก รวมถึง รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ กำลังถอยหลังลงคลอง ซึ่งธุรกิจพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความชำนาญด้าน AI ซึ่งเทคโนโลยี AI นั้นจะสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ทางด้านธุรกิจให้กับบริษัทเหล่านี้ และสามารถแข่งขันกับบริษัทจากตะวันตกได้
AI Everywhere
ในเมืองหลวงของจีนอย่างปักกิ่งนั้น เราได้เห็นความน่าสนใจหลายอย่างในการใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เช่นในร้านอาหาร มีเครื่องที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพ โดยใช้เพียงแค่รูปภาพ ซึ่งมีบริษัทแห่งหนึ่งในปักกิ่งที่น่าจะกล่าวถึงคือ SenseTime ซึ่งก่อตั้งในปี 2014 โดยกำลังกลายเป็นบริษัทหนึ่งที่จะมีมูลค่ามากที่สุดในโลกในด้าน AI ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Chinese University of Hong Kong ซึ่ง SenseTime นั้นได้บริการเทคโนโลยี computer-vision ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ทั้งบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง China Mobile รวมถึงยักษ์ใหญ่ทางด้าน E-commerce อย่าง JD.com ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาตลาดใหม่ ๆ เช่น ตลาดยานยนต์ โดยในเดือนกรกฎาคม SenseTime ได้รับเงินลงทุนกว่า 410 ล้านเหรียญ โดยทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง หนึ่งหมื่นห้าพันล้านเหรียญ
Qing Luan ผู้บริหารที่ดูแลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี Augmented-Reality หรือ AR ของ SenseTime ซึ่งเคยเป็นคนที่พัฒนา office apps ของ Microsoft ที่สำนักงานใหญ่ของ Microsoft มาก่อน ซึ่งเธอได้กล่าวว่า เธอกลับมาที่ประเทศจีน เพราะดูเหมือนจะมีโอกาสที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งเธอได้คุยกับเพื่อนเธอที่กำลังทำ startup ในประเทศจีนตอนอยู่ microsoft ว่า เธอกำลังดิ้นรนเพื่อหา users มาใช้งาน app หลายพันคน แต่เพื่อนเธอที่จีนกลับกล่าวว่า สามารถหา users ผู้ใช้งาน apps หลักล้านคนภายในไม่กี่วันในประเทศจีน นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เธอได้หันกลับมาทำงานที่จีนกับ SenseTime ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนั้น วิศวกรของ SenseTime ได้พัฒนาเทคนิคการประมวลผลภาพแบบใหม่เพื่อให้สามารถขจัดหมอกหรือควัน รวมถึงฝน จากภาพได้โดยอัติโนมัติ โดยใช้กล้องถ่ายรูปเพียงตัวเดียว ซึ่งเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ในปีที่แล้วสามารถคว้ารางวัลได้ใน international computer-vision award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลก
Manufacturing Intelligence
ในโลกตะวันตกนั้น ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มชะลอการลงทุนใน AI และเริ่มเปลี่ยนแปลการดำเนินธุรกิจของตัวเองใหม่ แต่ในจีนนั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่จะอยากเร่งการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ อุตสาหกรรม และเริ่มลงทุนอย่างหนักในด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่ง Andrew Ng ผู้นำด้าน AI ของ Baidu ยักษ์ใหญ่ทางด้าน internet ของจีนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ผู้นำธุรกิจในจีนนั้นเข้าใจดีถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และควรที่จะปรับตัวให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น คนอื่นก็อาจจะมาล้มธุรกิจของพวกเค้าได้
Baidu นั้นได้คาดการณ์ถึงศักยภาพของ AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวสร้างธุรกิจใหม่ทั้งหมด โดยในปี 2014 นั้น บริษัทได้สร้าง Lab ในการใช้พัฒนา Deep Learning ในการเรียนรู้ธุรกิจของตนเอง ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น Microsoft ได้พัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพในการจดจำเสียงพูดได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ว่า Baidu นั้นสามารถพัฒนาเทคโนโลลีดังกล่าวได้ก่อนหน้าแล้ว
สำหรับบริษัททางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีนก็กำลังมองหาการพัฒนา AI กับธุรกิจของตนเอง ผู้นำด้าน internet อย่าง Tencent ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเซินเจิ้นก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม้ว่า Tencent นั้นได้เริ่มทำการสร้างห้องวิจัยทางด้าน AI ไปเมื่อปีที่แล้ว และได้จ้างนักวิจัยเป็นจำนวนมากรวมถึงไปเปิดที่เมืองซีแอตเติลของอเมริกา ซึ่งนักวิจัยของบริษัทได้ทำการคัดลอกนวัตกรรมด้าน AI จากทางฝั่งตะวันตกไปแล้ว รวมถึง Alphago ของ Deepmind ซึ่งห้องปฏิบัติการทางด้าน AI ของ Tencent นั้นนำโดย Tong Zhang ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานให้กับ Baidu รวมถึงเคยเป็นอาจาารย์ที่ Rutgers University โดยนิสัยส่วนตัวแล้วนั้น Tong Zhang จะเป็นคนเงียบ ๆ โดยเขาจะคอยอธิบายว่า AI จะมีส่วนสำคัญต่อแผนการของ Tencent ในการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกประเทศจีน ซึ่ง AI จะเป็นความสำคัญต่อธุรกิจของ Tencent ในการที่จะขยายธุรกิจไปนอกประเทศ ซึ่ง Tencent นั้นเป็นเจ้าของเกมที่ได้รับความนิยมหลายเกม รวมถึง League of Legends ซึ่งมีผู้เล่นมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
Thing Big
ปัญหาใหญ่ของทั้งสหรัฐและจีน ที่จะได้เจอคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่า AI นั้นจะเกิดมาเพื่อกำจัดงานบางอย่างออกไปที่ AI สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการตกงาน ปัญหาเรื่องการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นตามมา แต่ AI ก็มีศักยภาพในการขยายระบบเศรษฐกิจ ด้วยการทำให้หลาย ๆ อุตสาหกรรมนั้นมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลในการผลิตที่ดีขึ้น จึงทำให้จีนมีความกระหายต่อเทคโนโลยีด้าน AI มากกว่าทางด้านตะวันตก แต่การพัฒนาทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีของ AI นั้นก็อาจจะเกิดกับประเทศอื่นขึ้นด้วยก็ได้ หากประเทศเหล่านั้นกระตือรือร้นที่จะนำเทคโนโลยีด้าน AI มาใช้อย่างที่จีนทำ
ประเทศจีนนั้นอาจจะมีทรัพยกรจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้นำมาใช้ แต่ฝั่งตะวันตกนั้นก็มีความเชี่ยวชาญระดับโลก และมีวัฒนธรรมการวิจัยที่แข็งแกร่ง ที่มีมาตั้งแต่อดีตตั้งแต่ยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมากจากการวิจัยและพัฒนาของเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตก ซึ่งแทนที่ประเทศตะวันตกจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของประเทศจีนนั้น ก็ควรที่จะใช้จุดแข็งของตัวเองในเรื่องการวิจัย รวมถึงการศึกษา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนของเทคโนโลยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะที่มาจากประเทศจีนได้ ซึ่งบริษัทชั้นแนวหน้าจากตะวันตกอย่าง google หรือ facebook ก็มีการพัฒนาและวิจัยด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ ก็ไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดได้ ซึ่งต่างจากจีน ซึ่ง AI จะให้ผลประโยชน์กับประเทศจีนมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการผลิต ที่จีนตอนนี้ก็เปรียบเสมือนโรงงานของโลก ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เหล่านี้มากกว่านั่นเอง
1
จากเรื่อง Poker tournament ในเมืองไห่หนาน สะท้อนให้เห็นว่าโลกเรานั้นควรที่จะนำแรงบรรดาลใจจาก “Lengpudashi” AI ที่เล่น Poker ชนะผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคนก็ควรที่จะตระหนักถึงเทคโนโลยีทางด้าน AI ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศของเราต้องทำตามประเทศจีนที่ภาครัฐรวมถึงภาคเอกชนมองเห็นถึงความสำคัญของ AI ที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ และในที่สุดแล้วนั้นก็เพื่อให้ประเทศของเราสามารถแข่งขันในระดับโลกได้เมื่อโลกเราได้เข้าสู่ยุคของ AI