Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าสร้างสุข🐄
•
ติดตาม
1 ก.ค. 2019 เวลา 12:30 • ท่องเที่ยว
หนีร้อน...มาพึ่งอินเดีย :
เวลาพูดถึง “อินเดีย” ภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่แว่บเข้ามาในหัวคงหนีไม่พ้น เมืองแห่งความสกปรก ร้อนหลังแฉะ วัวนอนกลางถนน การจราจรที่แออัด บีบแตรกันอย่างเซ็งแซ่ รวมถึง อาหารที่มีกลิ่นคล้ายจั๊กกะแร๊แขก ซึ่งผมเองก็มีมุมมองต่อประเทศแห่งนี้ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ และเกิดคำถามในใจทุกครั้งเวลาที่เห็นคนลงรูปไปเที่ยวอินเดียว่า ไปทำไมที่ประเทศนี้ แต่การเดินทาง (Journey) ไปเที่ยวยัง 2 เมืองในช่วงหยุดยาวสงกรานต์ปี 2019 ที่ผ่านมา มันช่วย “เปิดโลก” และทำให้มุมมองที่ผมมีต่อดินแดนภารตะแห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เลยอยากมาเล่าให้ฟังสั้นๆ 10 ข้อดังนี้
1. คนไทยกว่า 90% นิยมไปแสวงบุญที่ “สังเวชนียสถาน” ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐพิหาร (Bihar) โดยรัฐดังกล่าวเป็นรัฐที่จนที่สุดในประเทศ เลยไม่น่าแปลกใจที่ภาพจำที่คนไทยส่วนใหญ่มีต่ออินเดียมันช่างแร้นแค้น ชวนปลง ตามมาด้วยประโยคยอดฮิตว่า “ครั้งเดียวก็เกินพอ” ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว อินเดียเป็นประเทศที่กว้างขวางมาก แถมมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เมืองที่จนเค้าก็จนจริง แต่เมืองรวยนี่ก็รวยเวอร์ ถึงขนาดที่งานแต่งลูกสาวเศรษฐีอินเดียบางคนจ้าง Byonce บินมาเปิด Private Concert ในงานฉลองก็มีมาแล้ว
2. Trip นี้ผมขึ้นไปเที่ยวทางภาคอิสาน โดยจุดหมายปลายทางแรก (Destination) ของพวกเราก็คือเมือง Darjeeling ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศที่อังกฤษตั้งใจสร้างขึ้นในสมัยที่อินเดียยังตกเป็นประเทศอาณานิคม ตั้งอยู่ในรัฐ West Bengal และด้วยความที่เมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขา อากาศจึงเย็นตลอดทั้งปี (14 – 20 องศา) ใครที่มีเสื้อหนาวเท่ๆ ใส่แล้วดูดี หากยังใส่ได้อยู่ขอให้หิ้วมาได้เลย ถ่ายรูปสวยแน่นอน หลายคนอาจคุ้นหูกับชื่อเมืองนี้จากสายพันธุ์ชาที่โด่งดังไปทั่วโลก สำหรับเส้นทางไปสู่เมืองนี้ค่อนข้างโหดเสียหน่อย เพราะต้องผ่านทางที่แคบ และโค้งหักศอกที่เต็มไปด้วยหมอก เปรียบดั่งทางขึ้นเขาคิชกูฏผสมกับสังขละบุรีก็ไม่ปาน คนขับต้องใช้ทักษะในการแทรกและบีบแตรตลอดเวลา เราจึงมักจะเห็นป้ายรณรงค์ความปลอดภัย เช่น Safe Drive, save Life/ Speed Thrills, Speed Kills ตลอด 2 ข้างทาง
3. นอกจากชาแล้ว อังกฤษยังได้ทิ้งร่องรอยแห่งวัฒนธรรมให้กับดินแดนแห่งนี้ไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องของการแต่งกาย ตึกรามบ้านช่อง รวมถึงภาษาแบบอังกิ๊ดดด อังกฤษ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นพนักงานเสิร์ฟเรียก “Cookies” ว่า “Biscuit”/ร้านอาหารที่หน้าตาเหมือนใน Covent Garden รวมถึงแขกที่มาทานอาหารกลางวันใส่เสื้อ Jacket ลาย Scoth ที่มีแผ่นหนังกันถลอกตรงข้อศอกแบบ Mr. Bean กำลังนั่งทาน Fish and Chips พร้อมลุ้นผลการแข่งขัน Cricket ในทีวี บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเมืองแห่งนี้มีความเป็น British มากกว่า London เสียอีก
4. ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดของเมืองนี้ที่เราไปเยือน ผมประทับใจ Himalayan Zoological Park มากที่สุด สวนสัตว์แห่งนี้พิเศษกว่าที่อื่นๆ เพราะรวบรวมสัตว์จากเทือกเขาหิมาลัยมาไว้ด้วยกัน ทั้งพี่หมีควายจอมขี้เกียจที่นอนทักทายทุกคนอยู่ด้านหน้า แพะภูเขาที่สามารถทรงตัวได้บนพื้นที่ราบชัน ตัวจามรี (Yak) ที่ยืนเซื่องๆ ทึ่มๆ ไม่สมกับการเป็นไฮไลท์ของสวนสัตว์สักเท่าไหร่ เจ้าเสือดาวหิมะ (Snow Leopard) ที่ดูง่วงนอน รวมถึงหมาป่าหน้าแหลมที่วิ่งกลับไปกลับมาในพื้นที่แคบอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
5. ร้านขายของที่นี่เค้าเรียกว่า “Kirana” มีลักษณะเป็นร้านของชำเล็กๆ อารมณ์คล้ายๆ Kiosk ซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวมักมาถ่ายรูปโดยใช้ Kirana เป็น Background เพราะมันดูสีสันน่ารัก ดิบๆ เขรอะๆ และ Local ดี จากการเปิดเผยข้อมูลจากท่านผู้เชี่ยวชาญด้าน India ทำให้ทราบว่า Kirana คิดเป็นสัดส่วน 92% ของร้านค้าปลีกทั้งหมดในประเทศ ส่วนอีก 8% เป็นร้าน Modern Trade ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา 7-11 Chain สะดวกซื้อรายใหญ่ของโลกตัดสินใจที่จะมีแผนการบุกแดนภารตะ นั่งพิมพ์อยู่นี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทิศทางของ Kirana ในอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ถ้ามองในมุมของ “เสน่ห์” ผมเชื่อว่าใครๆ ก็ล้มร้านประเภทนี้ได้ยาก
6. สำหรับประเด็น “เสียงแตร” ที่หลายคนถามว่าเยอะมั้ย รำคาญมั้ย บอกได้เลยว่า เยอะและหนวกหูมากแต่ฟังไปบ่อยๆ ก็จะชินเอง แอบเหลือบดูพวงมาลัยคนขับเลยเห็นว่าบริเวณหนังที่เคยเป็นรูปแตรมันถลอกและด้านไปหมดแล้วสะท้อนให้เห็นว่าเค้าบีบกันมากขนาดไหน แต่จะว่าไปแล้ว วัฒนธรรมการบีบแตรที่นี่ มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด ขึ้นอยู่กับว่า “เจตนา” ที่เขาทำไปอย่างนั้นเพื่ออะไร บางทีคนขับจะบีบแตรสั้นๆ เพื่อเตือนว่าเขาจะแซง ระวังกันด้วย (Alerts) ในขณะที่บางคันบีบแตรสั้นๆ ตอบกลับมาเพื่อบอกว่า ขอบคุณ (Thanks) ยิ่งในพื้นที่โค้งหักศอกที่มีทัศนวิสัยแย่ ทางการถึงกับเอาป้ายใหญ่ๆ มาแปะไว้เลยว่า “Horn Please”
7. ไหนๆ พูดถึงแตรแล้วก็ต้องพูดถึงรถสะหน่อย ส่วนใหญ่คนประเทศนี้นิยมรถที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด จากการเปิดเผยข้อมูลของท่านผู้เชี่ยวชาญอินเดีย (เจ้าเก่า) ทำให้ทราบว่า Brand ที่มียอดขายอันดับหนึ่งของที่นี่ไม่ใช่ รถยนต์สัญชาติอินเดีย เช่น TATA หรือ Mahindra แต่กลับเป็นรถร่วมทุนสัญชาติญี่ปุ่น อย่าง Maruti Suzuki โดยคำว่า “Maruti” นั้น เป็นชื่อในวัยเด็กของลิง Super Hero แห่งมหากาพย์รามเกียรติ์ ก่อนที่จะโตมาแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “หนุมาน” ที่พวกเรารู้จักกันดี ผมคิดเองว่าคนอินเดียฟังชื่อนี้แล้วคงรู้สึกถึงความแคล่วคล่อง ว่องไว มีพละกำลังแบบ Bodyguard ของพระรามเป็นแน่แท้
8. หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับ Darjeeling ได้ 2 วัน พวกเราก็โบกมือลา Little Britain แห่งนี้เพื่อไปต่อกันยังเมืองที่สอง นั่นก็คือ Gangtok ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Sikkim นั่นเอง สิ่งที่น่าแปลกใจคือการจะข้ามจากรัฐ West Bengal มายังรัฐ Sikkim นั้นต้องมีการทำ Visa ด้วย ซึ่งผมเองที่หลับตลอดเส้นทาง ตื่นอีกทีที่ด่านชายแดนจึงค่อนข้างงงและประหลาดใจ ก็มันอินเดียเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำ Visa อีกล่ะ จนไกด์ต้องมาอธิบายว่า พื้นที่ชายแดนรัฐ Sikkim นั้นเป็นพื้นที่ควบคุม (Restricted Area) และมีความอ่อนไหว เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเขตติดต่อที่มีพรมแดนเชื่อมต่อไปยัง เนปาล/ภูฏาน/จีน/บังคลาเทศ หรือหากเดินอึดๆ อาจทะลุไปถึงพม่าเลยทีเดียว ดังนั้น หากมีผู้ลี้ภัย แรงงานต่างด้าว หรือยาเสพติดเข้ามาโดยง่าย มันจะส่งผลต่อความมั่นคงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลเหล่านี้เค้าเลยต้องคุมกันเข้มสะหน่อย
9. ตามที่เล่าว่า Sikkim ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย (The Himalayan Mountain Belt) ส่งผลให้หน้าตา วัฒนธรรม วิถีชีวิต ของคนละแวกนี้ออกไปแนวจีนผสมภูฏานสะมากกว่าแขก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหาร ที่มีรสชาติ ที่คุ้นเคยและถูกปากถูกคอลูกทัวร์ในคณะกันอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ พวกเรายังได้ไปดูสถานที่ท่องเที่ยวอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้เรื่องราวหลายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น คนที่นี่นับถือพุทธแบบนิกายมหายาน (Mahayana) ซึ่งภาษาอังกฤษแปลคำนี้แบบตรงตัวเลยว่า The Great Vehicle ซึ่งหมายถึง ศาสนาพุทธที่มีแนวคิดในการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อจะได้ช่วยเหลือและพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์
10. ท้ายที่สุด การเดินทางครั้งนี้ ทำให้รู้เรื่องปกินกะและสัพเพเหระอีกหลายเรื่อง อาทิ รถ Taxi ที่นี่สีเหลืองแดงเหมือนจีวรขององค์ดาไลลามะ/เลขนำโชคของคนที่นี่คือเลข 108/ หมาที่นี่ส่วนใหญ่นอนหลับทั้งวันเพราะอากาศมันดี รวมถึง หมอนรองคอสามารถใช้พร้อมกัน 2 คนได้ หากคุณกำลังมีความรัก❤😏
บันทึก
11
6
2
11
6
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย