4 ก.ค. 2019 เวลา 11:13 • การศึกษา
"ทำไมคนหล่อคนสวยถึงเป็นที่ชื่นชอบ ?"
ทำไมคนหล่อคนสวยถึงเป็นที่ชื่นชอบ ?
เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมคนที่หล่อๆสวยๆถึงเป็นที่นิยม เป็นที่ชื่นชอบ
ผู้ชายก็ชอบผู้หญิงหน้าตาสวยๆ น่ารักๆ เซกซี่ๆ ผิวพรรณดี มีหน้าอกมีสะโพกที่สมสัดส่วน
ส่วนผู้หญิงเองก็ชอบผู้ชายหน้าตาหล่อๆสูงๆ มีกล้าม มีซิกแพค เสียงทุ้มๆแสดงความเป็นเพศชาย ...
สังเกตไหมครับว่าทุกเชื้อชาติบนโลกใบนี้ ทั้งชายและหญิงต่างก็จะชอบลักษณะข้างต้นซะ"เป็นส่วนใหญ่" ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหน
จะคนเอเชีย คนผิวสี หรือคนผิวขาว คำถามคือทำไมกันหล่ะ?
ทำไมผู้ชายถึงชอบผู้หญิงสวยๆ ทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายหล่อๆ?
จริงๆจะถามแบบนี้ก็ยังไม่ถูกสักเท่าไหร่ เพราะจริงๆแล้วภาพที่เรามองเห็น ผิวที่เราเข้าไปสัมผัส เสียงที่เราได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างจากภายนอกล้วนวิ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางของการประมวลผล ซึ่งนั่นก็คือ "สมอง"
แสดงว่าคำถามที่ควรจะถามใหม่ก็คือ ทำไม"สมอง"ของทั้งหญิงและชาย ต้องมองหาความ"สวย"และความ"หล่อ"?
สวยหล่อพรมแดง
ในตอนที่แล้วผมเล่าถึง"เป้าหมาย"ของสมอง สมองของสัตว์ทุกชนิดทั่วโลกรวมถึงเรา ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เรา"อยู่รอด"และ"สืบพันธุ์" เพื่อให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ให้นานที่สุด
1
ฉนั้นการที่สมองเราชอบอะไรก็ตาม(ที่เป็นสากล)ถ้าไม่เกี่ยวกับอยู่รอดก็ต้องเกี่ยวกับสืบพันธุ์ แล้วความสวยความหล่อมันค่อนข้างจะเทไปทางสืบพันธุ์เสียมากกว่า คำถามคือทำไมหล่ะ?
2
ทำไมสมองถึงต้องมองหาความสวยความหล่อเพื่อใช้ในการสืบพันธุ์?
สมมติว่าท่านผู้อ่านเป็นคนที่ชอบสาวๆญี่ปุ่น หรือหนุ่มๆเกาหลีแต่ผู้หญิงหรือผู้ชายผิวสีอาจจะไม่ใช่สไตล์ที่คุณชอบ ถ้าผมมีนายแบบและนางแบบผิวสี
ที่ชนะเวทีการประกวดมานับครั้งไม่ถ้วน
ให้มายืนเทียบกับผู้ชายและผู้หญิงผิวสีธรรมดาๆ คำถามคือคุณพอจะมองออกไหมครับว่าคนไหนสวยกว่าหรือหล่อกว่า?
ก็น่าจะพอจะมองออกถูกไหมครับ นั่นแปลว่าถึงแม้คนหน้าตาแบบนั้นๆจะไม่ใช่แบบที่เราชอบ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบความสวยหรือหล่อเราก็สามารถทำได้
1
แสดงว่าความสวยความหล่อมันต้องมีลักษณะอะไรบางอย่างที่เป็น"สากล"ที่ทำให้สมองเราทุกคนมองออกได้ ลักษณะสากลที่ว่าของโฮโม เซเปียนส์
คืออะไร?
เท่ากันเป๊ะ
ลักษณะที่ผมพูดถึงก็คือ สมมาตร ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย และแสดงลักษณะเด่นของแต่ละเพศออกมา อาจจะยังงงๆเดี๋ยวเรามาดูตัวแรกกันก่อน ซึ่งก็คือความ"สมมาตร"
ลองสังเกตดูใครก็ได้ในโลกนี้ที่เรารู้สึกว่า(ยัง)ไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ถูกใจเรา เขาเหล่านั้นจะมีลักษณะคล้ายๆกันอยู่อย่างนึงซึ่งก็คือความ"ไม่สมมาตร" ตาเขาอาจจะไม่เท่ากันมากๆ ปากเขาอาจจะเบี้ยว
แต่ถ้าเราลองตัดรูปของเขาครึ่งนึง สะท้อนรูปแล้วเอามาแปะให้เป็นใบหน้าแบบเดิมที่สมมาตรกันทั้งซ้ายขวา อยู่ๆจากที่หน้าตาไม่ดีก็ดูดีขึ้นทันตา กลับกันถ้าเอาคนหล่อๆหน้าตาสมมาตรมาทำให้ตาเข ปากเบี้ยว
ต่อให้เป็นณเดชณ์ก็จะกลายเป็นณดับทันที ...
แล้วทำไมสมองเราต้องไม่ชอบอะไรที่ไม่สมมาตรด้วยหล่ะ
แล้วทำไมต้องสมมาตร?
ผมอยากให้ท่านๆที่กำลังอ่านอยู่ลองหยิบกระดาษและดินสอมาวาดรูปหัวใจให้"เป๊ะ"ที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทั้งสองด้านต้อง"สมมาตรกัน"ให้มากที่สุด จะต้องใช้โอกาสวาดกี่ครั้งครับ?
ถ้าอย่างเก่งก็หนึ่งรอบ ถ้าฝีมือกลางๆก็อาจจะสามถึงห้ารอบ แต่ แต่ แต่ ...
ในตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ช่วงแรกๆ เราเริ่มจากเซลล์แค่หนึ่งเซลล์ที่มีขนาดเล็กมากๆแต่ภายในเก้าเดือนเราต้องกลายเป็นทารกที่มีขนาดถึง 3 กิโลกรัม
ที่สำคัญคือเมื่อเริ่มแบ่งเซลล์ไปแล้ว "ไม่มีการย้อนกลับ" จะมาเอายางลบลบแบบวาดหัวใจก็ยังไงๆอยู่
นั่นแปลว่าเรามีโอกาสแค่"ครั้งเดียว"ในการวัดดวงว่าจะออกมาน่ารัก หรือน่าชัง ฉะนั้นปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ก็คือ พันธุกรรม โภชนาการแม่ ฮอร์โมนจากเลือดแม่ เชื้อโรคที่เข้ามา
ทุกสิ่งทุกอย่างสำคัญมากๆต่ออนาคตของทารก ถ้ามีอะไรผิดพลาดโอกาสที่จะสมมาตรก็จะลดน้อยลง ส่วนใหญ่แล้วที่มักเป็นปัญหาหลักก็คือ
"ปรสิตและเชื้อโรค"
ในยุคหลายหมื่นหลายแสนปีที่แล้วไม่มีเครื่องกรองน้ำ สัตว์สายพันธุ์ต่างๆรวมถึงเรา ก็ต้องกินน้ำจากลำธาร ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อโรคและปรสิตที่พัดมามากมาย
บางตัวก็เข้ามาทำประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหนักไปทางให้โทษเสียมากกว่า แน่นอนว่าร่างกายเจ้าบ้านไม่ยอมแน่นอน อยู่ดีๆจะเข้ามาดูดทรัพยาการกันได้ยังไง
1
จึงต้องมีการตอบโต้ สิ่งที่ร่างกายเจ้าบ้านวิวัฒนาการเอาไปสู้ก็คือ"ภูมิคุ้มกัน" ถ้าภูมิคุ้มกันดีก็เอาเชื้อโรคอยู่หมัด แต่ถ้าไม่ดีก็โดนเชื้อเล่นเอาซะเอง
จุดสำคัญก็คือภูมิคุ้มกัน มันสร้างมาจาก"พันธุกรรม" ภูมิจะดีได้ พันต้องดีก่อน พันจะดีอย่างเดียวไม่พอ อาหารการกินก็ต้องดีด้วยเพราะกองทัพเดินด้วยท้อง ถ้าสารอาหารไม่พอจะเอาอาวุธหนักที่ไหนไปถล่มข้าศึก
ดังนั้นสรุปก็คือ เรื่องของความสมมาตรเปรียบเสมือนกับการ"โฆษณา" ว่า
"ที่เรามีหน้าตาที่หล่อเหลา หรือสวยเซกซี่และสมมาตรได้เนี่ย เพราะภูมิคุ้มกันเราดีและอาหารเราสมบูรณ์นะ แล้วพันธุกรรมเราก็ดีไม่งั้นภูมิเราไม่ดีหรอก"
ดังนั้นสมองใครก็ตามที่เห็นโฆษณานี้ก็จะทำให้รู้ทันทีเลยว่าคนๆนั้นเป็นพ่อหรือแม่พันธุ์ที่ดี ถ้ามีลูกด้วยกันโอกาสที่ลูกจะเกิดมาแข็งแรงก็มีสูง
และโอกาสที่ลูกจะได้ส่งยีนต่อไปอีกก็จะสูงกว่าลูกที่เกิดจาก
พันธุกรรมที่ดีน้อยกว่า
ใบหน้าเฉลี่ย
มาถึงอันที่สองใกล้เคียงค่าเฉลี่ย ว่าแต่มันคืออะไร?
ถ้าเราไปถ่ายรูปผู้ชายและผู้หญิงมาหลายๆแบบที่มีทั้งดั้งโด่ง ตากลม ตาตี่ คิ้วดำ คิ้วแหว่ง ปากเล็ก ปากใหญ่
จากนั้นเอามาคำนวณหาค่าเฉลี่ยแล้วสร้างใบหน้าใหม่ขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือใบหน้าที่เกิดจากค่าเฉลี่ยนั้นดูสวยหรือหล่อขึ้นมาทันที คำถามคือแล้วใกล้เคียงค่าเฉลี่ยมาเป็นเกณฑ์ได้ยังไง?
การที่ใบหน้าของคนๆนั้นเกิดมาแล้วใกล้เคียงค่าเฉลี่ยได้ ต้องเกิดจากหลายๆชาติพันธุ์ผสมกัน เช่นลูกครึ่งทั้งหลาย แล้วการที่คนต่างชาติพันธุ์มาผสมกันแปลว่า"พันธุกรรม"ก็จะมาผสมกันด้วย
ซึ่งเจ้าภูมิคุ้มกันสร้างมาจากพันธุกรรม ถ้าพันธุกรรมหลากหลายก็ทำให้ภูมิคุ้มกันหลากหลาย การที่ภูมิหลากหลายทำให้กลยุทธ์ในการสู้กับเชื้อโรคหลากหลายไปด้วย
การที่ลูกครึ่งต่างๆดูสวยหรือหล่อเป็นพิเศษ เหมือนเป็นการ"โฆษณา"ว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ถ้ามีลูกด้วยแล้ว โอกาสที่ลูกจะออกมาแข็งแรงและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปก็ได้สูง
แถมพันธุกรรมในตัวลูกก็จะหลากหลายไปอีก
เพิ่มกลยุทธ์ได้มากขึ้นอีก
แล้วก็อันสุดท้ายนั่นก็คือ"แสดงลักษณะเด่นแต่ละเพศ" อันนี้หลายๆคนพอจะเดาออกถ้าในผู้ชายก็คือเสียงห้าวทุ้ม มีกล้าม มีหนวดมีเครา ตัวสูงใหญ่ ขนเยอะ ผิวหยาบ
ถ้าในผู้หญิงก็คือเสียงเล็กแหลม มีหน้าอก มีสะโพก เอวคอด ผิวขาวใสเปล่งปลั่ง ผิวนุ่ม ขนน้อย ...
เรารู้ว่าคืออะไร แต่ทำไมสมองเราถึงชอบลักษณะที่ว่ามานี้
มีความลับอะไรซ่อนอยู่?
การที่ลักษณะเด่นแต่ละเพศจะออกมาได้เยอะหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณของ"ฮอร์โมนเพศ" ไม่ว่าจะเป็น Testosterone ในเพศชาย หรือ Estrogen ในเพศหญิง
ประเด็นคือทั้งสองตัวนี้มันอยู่ในหมวดของ"Steroid Hormone"ซึ่ง
มันจะ"กดภูมิคุ้มกัน" หมายความว่ายังไง?
หมายความว่าถ้าฮอร์โมนเพศเยอะ ภูมิคุ้มกันจะต่ำ
มันจะสวนทางกัน
แล้วถ้าฮอร์โมนเพศกดภูมิคุ้มกันเราก็จะป่วยง่ายหน่ะสิ ทำไมสมองเราถึงยังชอบคนที่มีฮอร์โมนเพศเยอะ?
ลองคิดตามนะครับ สมมติว่าผมกับท่านผู้อ่านตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองเป็นนกแก้ว ผมติดอยู่ในกรงที่มีแต่เชื้อโรค มีปรสิตยั้วเยี้ยมากมาย แต่ท่านผู้อ่านไปติดอยู่ในกรงที่อาหาร น้ำ อุดมสมบูรณ์แถมปลอดเชื้อ 100% อีกต่างหาก
เวลาผ่านไปผมกับท่านผู้อ่านค่อยๆต่างกันขึ้นเรื่อยๆ สีสันบนตัวผมไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ทำให้ไม่เป็นที่สนใจของตัวเมียที่นั่งดูอยู่ด้านนอก
1
กลับกันท่านผู้อ่านกลายเป็นนกที่สดใส ตัวเมียที่อยู่ด้านนอกมากองกันอยู่
หน้ากรงท่านผู้อ่าน เห็นแล้วมันทำให้ผมอิจฉายิ่งนัก...
นกแก้ว
ทำไมผมเป็นนกที่ไม่สดใสแต่ท่านผู้อ่านกลายเป็นนกที่มีแต่ตัวเมียสนใจ?
คำตอบก็คือ"เชื้อโรค"ครับ
ผมอยู่ในกรงที่เชื้อโรคมากมาย ภูมิคุ้มกันผมทำงานอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถมีฮอร์โมนเพศที่เยอะได้เพราะถ้าเยอะมันจะกดภูมิคุ้มกันผมหนัก
กว่าเดิม ผมเลยเป็นนกที่มีสีไม่สดใส
กลับกันท่านผู้อ่านอยู่ในกรงปลอดเชื้อภูมิคุ้มกันไม่ต้องทำงานหนักเลย ก็จะมีฮอร์โมนเพศได้มาก เพราะไม่ได้เกิดผลเสียอะไรอยู่แล้ว ท่านผู้อ่านเลยเป็นนกที่แสดงลักษณะทางเพศได้เยอะถึงเยอะที่สุด
จนมีแต่ตัวเมียไปสนใจนั่นแหละครับ
จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่าในความเป็นจริง ผมและท่านผู้อ่านอาศัยอยู่ในที่ๆมีเชื้อโรคเท่าๆกัน ปรสิตพอๆกัน การที่ใครแสดงออกถึงลักษณะทางเพศได้เยอะกว่าเปรียบเสมือนการ"โฆษณา"อีกแล้วว่า
"นี่เห็นไหม ขนาดปรสิตมากมายขนาดนี้ฉันยังมีสีสันสดใส ถ้าภูมิคุ้มกันฉันไม่เก่งพอ ภูมิคุ้มกันฉันคงทนฮอร์โมนเพศสูงๆไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ"
สรุปก็คือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเก่งของภูมิคุ้มกัน เพราะถ้าภูมิคุ้มกันเก่งพอฮอร์โมนเพศจะเยอะได้ แต่ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอฮอร์โมนเพศก็จะน้อยลง
การที่สมองเราชอบคนที่ฮอร์โมนเพศสูงๆ เพราะมันแสดงถึงภูมิคุ้มกันที่สูงตามไปด้วย ลูกที่ออกมาก็จะมีพันธุกรรมที่มีภูมิคุ้มกันที่สูง และยังช่วยรับประกันความสามารถที่จะสู้กับปรสิตต่างๆได้อีกด้วย
จากที่เล่ามาทั้งหมดจะได้เห็นแล้วว่า การที่เราชอบคนนั้นเพราะเค้าหล่อ คนนี้เพราะเค้าสวย ก็เพราะความหล่อความสวยมันแสดงออกถึงอาหารที่สมบูรณ์ และ "ภูมิคุ้มกัน"ที่เก่งพอ ที่จะไปสู้กับเชื้อโรคได้
ถ้าภูมิคุ้มกันพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ที่เราชอบเก่งพอ โอกาสที่ลูกเราจะเกิดมาแล้วกินน้ำจากลำธารแล้วยังแข็งแรง ติดเชื้อโรคอะไรก็ตามก็ยังหายได้ และ
ส่งต่อยีนต่อไปได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น
แต่ แต่ แต่ .. สมองและร่างกายของเราวิวัฒนาการมาให้อยู่ในป่า ให้ล่าสัตว์ ให้กินน้ำจากลำธารแบบแสนปีที่แล้ว
ซึ่งสมองของเราปรับตัวไม่ทันกับโลกที่เปลี่ยนเร็วขนาดนี้ โลกที่มีเครื่องกรองน้ำ มีการแพทย์ที่ดี มีเครื่องปรับอากาศ มีอาหารให้กินไม่ขาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
ทำให้ภูมิคุ้มกันเราไม่ต้องทำงานหนักแบบเมื่อก่อนเลย
โลกที่เปลี่ยนไป
ฮอร์โมนเพศเราเลยแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ ทุกวันนี้เราเลยเห็นคนหล่อๆสวยๆมากมายเดินกันให้ขวักไขว่ แล้วยิ่งมีสิ่งที่เรียกว่า Internet อีก หนักเข้าไปใหญ่เลย
สิ่งเกิดขึ้นคือฮอร์โมนเพศเยอะ โดยที่ภูมิคุ้มกันไม่ได้เยอะตาม(บางคน) บวกกับสมองที่ปรับตัวไม่ทัน พอไปเห็นคนหล่อคนสวยก็ชอบ ก็สนใจ แล้วเข้าใจว่าคนนั้นอะภูมิคุ้มกันแข็งแรง เป็นพ่อแม่พันธุ์ที่ดี
แต่ความเป็นจริงคือไม่ใช่ทั้งหมดที่จะแข็งแรงนะครับ เพราะโลกที่เปลี่ยนไปเร็วมันมาหลอกสมองของเรานั่นเอง
สรุปสั้นๆได้ว่าหลักการการหาคู่ของสมองเราที่มองคนสวยคนหล่อมันไม่เข้ากับโลกปัจจุบันของเราเลย แต่เราก็ยังคิดแบบนั้นอยู่เพราะสมองเราปรับตัว
ได้ช้าเหลือเกิน
จากด้านบนผมจะพูดถึงภูมิคุ้มกันและเชื้อโรคเยอะมาก แล้วการที่ภูมิของเราจะไปสู้กับเชื้อโรคได้ก็ต้องมีอาหารที่สมบูรณ์ และเพียงพอ ถ้าขาดอาหารเท่ากับขาดเสบียง ทหารก็ไม่มีแรงไปรบ
1
แต่ทำไมเวลาเราป่วยหรือมีไข้ขึ้นมาเราถึงเบื่ออาหาร? ทั้งๆที่อาหารสำคัญไม่ใช่หรือ? แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขอคั่นด้วยเรื่องราวของสมองเราก่อนสักเล็กน้อยก่อนจะไปตอบเรื่องไข้ในอนาคตอันใกล้นี้ ...
กว่าที่เราจะได้สมองที่ฉลาดขนาดนี้ เราต้องผ่านสมองสัตว์อะไรมาบ้าง?
...ตอนหน้ามีคำตอบครับ...
ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ ตอนนี้ก็ยาวพอสมควรละ หวังว่าทุกคนจะชอบนะครับ😁
#ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับบ 😁
#ถ้าชอบก็ฝากกด"Like"กด"Share"เป็นกำลังใจให้กัน
ด้วยนะครับ 😋
#และถ้าใครสนใจบทความสไตล์นี้ก็อย่าลืมกดติดตามกัน
ด้วยนะจ๊ะ ☺
#อ้างอิงจากหนังสือ"เรื่องเล่าจากร่างกาย"
#รูปภาพที่ใช้อธิบาย
โฆษณา