8 ก.ค. 2019 เวลา 09:03 • ธุรกิจ
เปิดกะลาออกไป ลงทุนต่างประเทศ - ตอนที่1
ผมบอกตัวเองให้ตาสว่างเสียที มีของดีมากมายรออยู่ในโลกกว้างใบนี้ที่นายยังไม่เคยสัมผัส เลิกกลัว เลิกอยู่ในกะลาได้แล้ว ...
เราอยู่ในยุคที่เงินไหล flow ข้ามประเทศได้ง่ายดาย ประชากรทุกคนบนโลกมีสิทธิเข้าถึงสินทรัพย์บนโลกที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด และสามารถโยกย้ายได้ตลอดเวลา
สมัยก่อนการซื้อหุ้นต่างประเทศนั้น มีแค่ไม่กี่ broker ที่ให้บริการ ผมจำได้ว่าเปิดพอร์ตต่างประเทศทิ้งไว้ ตอนปี 2011 แต่ก็คิดว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ส่วนตัวผมในยุคนั้น ยังชอบที่จะ enjoy การเติบโตของหุ้นในประเทศไทยอยู่ ผมยังสามารถการเติบโตในบริษัทที่มี growth ระดับ 15-20% ต่อเนื่องได้หลายตัว
ผ่านมาจนถึงวันนี้ ปี 2018-2019 ผมรู้สึกว่าหุ้น growth stock ที่ผมเคยชื่นชอบในอดีตหลายๆตัว เริ่ม"โตคับประเทศ"
งบการเงินบริษัทที่เคยเป็น stock growth ในดวงใจผม มาวันนี้กำไรบริษัทโตน้อยมาก ยิ่งถ้าดูไปที่ต้นน้ำ ในส่วนของฝั่งรายได้แทบจะเพิ่มได้น้อย มาหลายปีแล้ว
ในทางกลับกัน Blue Chip ที่เป็น growth stock ในตลาดหุ้นอเมริกา/จีน กลับโตได้ต่อเนื่อง ทั้งๆที่บริษัทเหล่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าบริษัทในบ้านเรามาก
มาดูการเติบโตของตัวอย่างหุ้นยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ดูบ้าง
- GOOG
- AMZN
- FB
Google ยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 5 ปีที่ผ่านมา 144% (หาดู=>seekingalpha.com)
การเติบโตแบบทบต้นต่อปี ทั้งแง่ของรายได้ก็ดี กำไรจากการดำเนินงานก็ดี Google สามารถ growth ได้อยู่ระดับ 20% ใน 3ปีให้หลัง ซึ่งแม้จะโตแบบนี้ผ่านมาเป็น 10 ปีแล้วก็ยังคงโตต่อได้อีก (หาดู=>seekingalpha.com)
Amazon (ไม่ใช่กาแฟในปั้มนะ ใจเยนนน 😆) เป็นบริษัท e-commerce มา 40ปีแล้ว ทุกวันนี้ 5 ปีที่เพิ่งผ่านมาหลังรายได้เติบโต 209% (หาดู=>seekingalpha.com)
คิดเป็นการเติบโตทบต้น > 25% ต่อปี ในแง่รายได้ ถ้าแง่ของกำไรแล้ว > 50% ใน3ปีที่ผ่านมา เอาสิ ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าโลกยังไปได้อีก (หาดู=seekingalpha.com)
(Facebook ไปดูเอาเองนะคับ)
GOOG รายได้ปี 18 เท่ากับ 136B$
AMZN รายได้ปี 18 เท่ากับ 232B$
FB รายได้ปี 18 เท่ากับ 55B$
(หาดูจาก=>investing.com)
เทียบกับหุ้นในบ้านเรา
PTT รายได้ปี18 เท่ากับ 2.36 ล้านล้าน (76B$)
CPALL รายได้ปี18 เท่ากับ 5.27 แสนล้าน (17B$)
HMPRO รายได้ปี18 เท่ากับ 6.6 หมื่นล้าน (2.14B$)
AOT รายได้ปี18 เท่ากับ 6.2 หมื่นล้าน (2B$)
CPN รายได้ปี18 เท่ากับ 3.7หมื่นล้าน (1.2B$)
(หาดูจาก =>ser.or.th , convert rate 1$ =30.77บาท
รายได้ของ 7 Eleven เติบโตเหลือแค่ระดับต่ำกว่า 10% ต่อปีมาสัก3-4ปีแล้ว (หาดู=>finomena.com)
Homepro นี้ชัดเลย growth rate ของรายได้ตกลงจริงๆ เหลือไม่ถึง 10% ต่อปีแล้ว ทุกวันนี้รีบกำไรจากการลดต้นทุนการขาย/คชจ. (หาดู=>finomena.com)
MAKRO เป็นค้าปลีกอีกตัวนึงที่มา confirm ว่า sector ระดับเทพของบ้านเรา งบยังฝืดๆเลย เดิมมี makro มี revenue growth ต่ำกว่าเพื่อนอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ revenue โตแทบจะเหลือ 5% (หาดู=>finomena.com)
(หมายเหตุ*** จงใจเลือกมาให้แต่เฉพาะตัวที่โด่งดัง เช่น HMPRO,CPALL ที่ไอดอลVIบ้านเราอย่างดร.นิเวศน์เคยถือ เพื่อบอกให้ดูว่าตัวเทพๆ ในอดีตหลายตัว เริ่มฝืดๆละ )
เหตุใดหุ้น Blue อเมริกาทั้ง3ตัวนี้ ยังคงเติบโตได้ ทั้งๆที่มี scale ใหญ่ กว่า growth stock ในไทย ตั้งเยอะ ?
เพราะหุ้น growth ไทย หลายๆตัว มีลักษณะบางอย่างที่ใช้กลยุทธเศรษฐศาสตร์แบบโบราณอยู่ คือ การเป็นผู้ครอบครอง "ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด"
เช่น เจ้าของที่ดิน เจ้าของสัมปทาน , จับจองของทำเลหลักหัวเมือง , ครอบครองระบบ logistic
เช่น AOT ก็มีสัมปทานท่าอากาศยาน
CPN มีพื้นที่ห้างทำเลดี ใจกลางเมือง
BTS ก็ได้สัมปทานรถไฟฟ้า
PTT ก็มีแหล่งพลังงานทางธรรมชาติในย่านนี้
CPALL ก็ได้ทำเลดี มีระบบขนส่งสินค้าครอบคลุม
HMPRO, GLOBAL, MAKRO บลาๆ
ซึ่งกลยุทธนี้จะแข็งแกร่งมากในการดูดเม็ดเงินจากการบริโภคในประเทศ และแข็งแกร่งในด้านรับมือ ป้องกันไม่ให้บริษัทต่างชาติเข้ามาโจมตี
แต่เมื่อวันใดวันหนึ่งที่บริษัทเหล่านั้นขยายใหญ่จนแทบจะครองตลาดในประเทศแล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วงตื้อๆ
ถ้าประชากรในประเทศไม่ได้รวยขึ้น จะไปหากำไรเพิ่มจากไหนได้เยอะๆเหมือนเมื่อก่อน
ในขณะที่ blue chip อันดับต้นๆ ของตลาดอเมริกานั้นล้วนเป็น tech company ทั้งสิ้น ซึ่งพับตำราเศรษฐศาสตร์เก่าเก็บไปได้เลย
กลยุทธบนโลก online ที่ไม่มีพรมแดนของเรื่องการเป็นเจ้าของที่ดิน สามารถเจาะเข้าถึงประชากรโลกได้ การเติบโตของพวกเค้าจึงไปได้ไกลกว่า
1
ประเทศไทย อาจจะมีขนาดพอๆกับรัฐหนึ่งใน U.S. ลองคิดดูว่า business model ที่ work ในรัฐหนึ่ง ถูกขยายออกไป 50 รัฐของ U.S. แล้วแพร่กระจายเข้าไปใน Canada ออกไป Mexico ลงอเมริกาใต้ ข้ามมายุโรป เข้ามาเอเชีย ออสเตรเลีย ความมหัศจรรย์ของการ scaling รายได้ มันเยอะมาก
ภาพจาก wikipedia.com GDP ประเทศไทยปี2560 อยู่ที่ 455 Billion $ เทียบได้ประมาณกับรัฐหนึ่งของอเมริกา
ในอีกแง่นึง ต้องบอกว่ายุคนี้ ยุค2019 ตลาดหุ้นในบ้านเรามี valuation ที่ค่อนไปทางแพง (เล่นหุ้นโรงไฟฟ้ากัน PE 50-100 เงี้ย 😣) เทียบกับภูมิภาค emerging market ด้วยกันแล้ว ยิ่งเห็นชัดว่าเรามี gdp growth น้อยกว่าหลายๆประเทศด้วยซ้ำ
จีน อินเดีย มาเลเซีย อินโด ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว มี gdp growth ที่สูงกว่าบ้านเรามาหลายปีแล้ว อีกทั้ง valuation หุ้นของเค้าก็ยังถูกกว่าเมืองไทยด้วย
ไทยอยู่รั้งท้ายมา3ปีติดแล้วคับ หาดู=>http://www.citem.gov.ph/announcements/industry-news-list/3316-gdp-growth-projection-for-asia-2018
แต่ถึงอย่างไร ตลาดหุ้นไทยก็เหมือนจะได้การยอมรับ จากนักลงทุนให้เทรดกันที่ PE สูงระดับ 30-40 เท่าในบาง sector เป็นเวลานานหลายปีทั้งๆที่เริ่มไม่มี growth เยอะๆอย่างเช่นสมัย 5-10ปีที่ผ่านมา
ติดตามต่อไป เปิดกะลาลงไปลงทุนต่างประเทศ ep.2
- เหลือบริษัทไหนในประเทศไทยที่ยังเติบโตดีอยู่ ?
- มี sector ที่ดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามา ยังเติบโตได้ดีอยู่ไหม ?
- ไปลงทุนต่างประเทศเริ่มต้นยังไงดี ?
facebook : GMH pilot life
blockdit : GMH pilot investor

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา