9 ก.ค. 2019 เวลา 03:41 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อพ่อแม่อยากให้ฉันเป็น “ข้าราชการ”
ภาพจากเพจ : รวมโปรข้าราชการ
ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา เราถูกรายล้อมไปด้วยครอบครัวที่รับราชการแทบทั้งหมด ทั้งคุณตา คุณลุง คุณป้า พ่อ แม่ และก็คุณน้า แต่เมื่อเข้าโรงเรียนมีสังคมเพื่อนฝูง เพื่อนส่วนใหญ่ต่างเป็นลูกเจ้าของกิจการต่างๆ ทั้งร้านค้าของชำ ร้านอาหาร ลูกชาวสวน ซึ่งแต่ละคนต่างอยู่ดีกินดี มีของดีๆราคาแพงมาใช้ตามเทรนอยู่เสมอ เพราะเรื่องราวเหล่านี้ เพราะความอยากได้อยากมีเหมือนเพื่อนๆ ทำให้เราฝังโปรแกรมความคิดของตัวเองไว้ตั้งแต่เด็กว่าเป็นข้าราชการมันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ มันไม่ตอบโจทย์ความอยากได้อยากมีของเราได้ "มันไม่รวย!!"
จบ ป.ตรี พ่อแม่ก็พยายามพูดให้เราฟังบ่อยๆว่า “เป็นข้าราชการมันมั่นคงนะ เขาไม่ทิ้งเรา” เราจึงตัดสินใจไปสอบ ภาค ก เพียงเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ หลังจากประกาศผลสอบว่า “ผ่าน” นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มเดินออกจากกรอบทางเดินที่พ่อแม่หวังไว้เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็สอบให้พ่อแม่แล้ว แต่เรายังไม่อยากไปต่อในทางสายนี้จริงๆเลยเลือกที่จะไม่สอบภาค ข และไปสมัครงานบริษัทเอกชนโดยไม่บอกพ่อแม่ พวกท่านทราบหลังจากเราได้รับข่าวการสอบผ่านสัมภาษณ์ พร้อมกับข้ออ้างเดียวที่เรามีให้กับท่านคือ “เงินเดือนเยอะกว่าบรรจุข้าราชการมากนะ ขอลองทำก่อนเก็บเงินก่อน” โชคดีที่พวกท่านให้โอกาสให้เราได้ลองทำตามใจตัวเอง
หลังจากทำงานไปได้สักระยะหนึ่ง คำพูดพ่อแม่ดังก้องอยู่ในความคิด การทำงานที่นี่ของเราเป็นการทำงานที่แทบจะสละร่างและวิญญาณเพื่อบริษัท เข้างาน 9 โมง ทำงานตัวเองเสร็จ 5 โมงเย็น แต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะหัวหน้ายังเคลียงานไม่เสร็จ ต้องอยู่ช่วยหัวหน้าเคลียงานกว่าจะได้กลับบ้าน 1 ทุ่ม บางวันก็ 3 ทุ่ม OT ก็ไม่ได้ ถ้าวันไหนรีบลุกจากโต๊ะกลับบ้านโดยไม่รอหัวหน้า ก็จะโดนตำหนิกลางที่ประชุม จนร่างกายเราเริ่มไม่ไหว
อ่านมาถึงตอนนี้หลายคนจะคิดว่าเราไม่อดทนหรือไม่สู้งาน จะคิดอย่างนั้นก็ได้นะ แต่เราเริ่มเข้าโรงพยาบาลถี่ขึ้นจากการป่วยเรื้อรัง สาเหตุมาจากพักผ่อนน้อย ไอจนเป็นเลือด จนเราร้องไห้แล้วโทรไปขอโทษแม่พร้อมกับบอกว่า
“หนักจริงๆแหละแม่ โชคไม่ดีเหมือนคนอื่นเขาเนาะ ไม่รู้เพราะหัวหน้าโหด หรือเพราะเราไม่สู้งานเอง แต่ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้วว่า จะลองสอบราชการดู รู้แล้วว่าถ้าเราไม่รู้จักเก็บเงิน ได้เงินเดือนมากแค่ไหนก็ไม่พอ และชีวิตทุกวันมันมีความเสี่ยง ให้เวลาร่างกายได้พักผ่อนบ้าง”
เราไม่ได้บอกว่าการทำงานบริษัทเอกชนไม่ดีนะ มันก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน หรือเราอาจจะซวยไปเจอที่ที่ไม่ใช่ตั้งแต่งานแรก จึงเป็นเหตุให้เราตัดสินใจเปลี่ยนความคิด
แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร ระหว่าง “งานที่ชอบแต่ภาระหนัก กับ งานที่รู้สึกเฉยๆแต่มีเวลาให้ตัวเอง”
โฆษณา