9 ก.ค. 2019 เวลา 08:21
" วิญญาณพรานถ้ำ "
การเข้าป่าเป็นประจำ ทำให้เจอเหตุการณ์แปลกประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้หลายครั้ง บ่อยที่สุดก็คือได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะเป็นเสียงสัตว์บางอย่างก็เป็นได้
แต่ที่แปลกและคิดว่าไม่ใช่เสียงสัตว์อย่างแน่นอนก็เจออยู่หลายหน เช่น เสียงเหมือนคนเดินตามหลัง พอหันไปดูก็ไม่เจออะไร
เมื่อเดินต่อและตั้งใจฟังอยู่ก็ไม่มีเสียงผิดปกติ แต่สักพักก็ได้ยินอีก หันไปดูก็ไม่มีอะไรสักที
แบบนี้ผมก็นึกแผ่เมตตาให้ บอกเขาว่ามาเที่ยวป่า ไม่ได้มารบกวน ทางใครทางมันก็แล้วกันนะ เสียงตามหลังก็หายไป
1
บางครั้งได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน พอหยุดเดินตั้งใจฟังก็ไม่ได้ยิน เสียงคนกู่ไกลๆก็ได้ยินหลายครั้ง อาจจะเป็นเสียงสัตว์หรือคนจริงๆก็ได้ เพราะในป่าก็มีพวกชาวบ้านเขามาหาของป่ากัน
แรงสุดที่ผมเคยเจอก็คือได้ยินเสียงคนพูดใกล้ๆเลยครับ เป็นเสียงผู้ชายถามว่า “ทำอะไร”
ตอนนั้นผมกำลังยืนอยู่ริมลำธาร มองหาว่ามีปลาหรือเปล่า จู่ๆป่าก็เงียบสงัด แล้วได้ยินเสียงพูดชัดมาก หันไปดูทางต้นเสียงก็ไม่มีคน
ผมตั้งสติพูดตอบไปว่า “ยืนดูปลาครับ ถ้าหวงผมก็ไม่ยุ่ง ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ผมยกมือไหว้แล้วรีบออกไปจากที่นั่นเลย
ตอนหลังได้รู้จากพวกชาวบ้านว่าแถวนั้นเจ้าที่เขาแรง พรานรุ่นเก่าเจอเรื่องแปลกๆกันบ่อย เลยไม่มีใครไปหาของป่าแถวนั้นอีก
แบบที่เห็นเป็นภาพก็มี ครั้งแรกเลยคือเห็นคนเดินในป่า เป็นผู้ชายรูปร่างเล็ก โพกผ้าขาวม้าที่หัว เดินห่างจากผมสัก ๑๐๐ เมตร เห็นเขาโผล่ๆหายๆ ผมก็คิดว่าเป็นชาวบ้าน เดินไปตามทางในป่าที่เป็นทางโล่ง ป่าไม่รกนัก มองเห็นได้ไม่ยาก
มาแปลกใจเอาตรงที่เห็นเขาเดินอยู่แท้ๆ แต่พอเข้าทุ่งโล่ง เขากลับหายไปเฉยเลย จะว่าเลี้ยวหลบไปทางอื่นก็ไม่น่าใช่ มองหายังไงก็ไม่เจอ
อีกแบบที่เห็นหลายครั้งคือดวงไฟในป่าตอนกลางคืน ดวงสีขาวบ้าง เหลืองบ้าง ขนาดประมาณกำปั้นหรือใหญ่กว่านั้นนิดหน่อย ลอยเหนือยอดไม้ คล้ายๆนกหรือแมลงบินไปมาช้าๆ ขึ้นๆลงๆ
ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ดาว แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เคยจะลองยิงปืนใส่แต่ใจไม่กล้าพอ
ผมรู้ว่าในป่าแสงจะหลอกตาเราได้ง่าย อย่างที่พรานบางคนเดินส่องสัตว์แล้วยิงใส่ดาวตรงขอบฟ้าเพราะนึกว่าเป็นตาสัตว์ก็ยังเคยมีมาแล้ว เพราะภูมิประเทศที่เป็นเนินเป็นหุบเขามันหลอกตาว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
มาถึงเหตุการณ์แปลกสุดที่เจอมา ผมเดินป่าไปในเส้นทางที่ห่างจากหมู่บ้านมาก เดินไปหลายวัน การเดินในป่าไม่สบายเหมือนบนลู่วิ่งในสนาม ต้องปีนป่ายมุดรกลอดหนามลุยน้ำ หนทางก็มีทั้งหลุมทั้งเนินก้อนหินเถาวัลย์ต้นไม้ล้มพงหนามขวางทาง
ผมจัดว่าเป็นนักเดินทรหดคนหนึ่ง แต่ก็ยังเดินไม่เก่งเท่าพวกพรานชาวบ้าน เห็นชาวดงผอมๆตัวเล็กขาสั้นแต่เขาเดินกันเร็วมาก เวลาต้องก้มมุดลอดซุ้มไม้คนตัวเล็กยิ่งได้เปรียบคนตัวสูงเทอะทะอย่างผม
ผมไปคนเดียวเดินสำรวจเส้นทางใหม่ไปเรื่อยๆ เรื่องหลงทางผมไม่กลัว ถึงหลงทางแต่ถ้าเราไม่หลงทิศ จับทิศกำหนดแนวการเดินให้ถูก เดี๋ยวก็หาทางกลับออกมาจนได้ เสบียงกับน้ำดื่มและของใช้จำเป็นต้องมีติดตัวไว้ตลอด อาหารบางอย่างก็หาได้ในป่าถ้ามีความรู้และประสบการณ์
วันนั้นบ่ายแก่ ฟ้าครึ้มส่อแววว่าฝนจะตกหนัก ผมเร่งเดินหาทำเลที่พัก ไม่ทันได้ที่เหมาะฝนก็โปรยลงมาบางๆ ผมจ้ำเดินต่อไม่ยอมหยุด ร่มไม้ในป่าช่วยบังฝนได้ถ้ายังตกไม่หนัก
เดินมาถึงชายเขาที่เป็นหน้าผาหิน ผมมองเห็นถ้ำก็วิ่งไปดูเผื่อได้หลบฝน
ปกติถ้าฝนไม่ตกผมจะไม่พักในถ้ำ เนื่องจากถ้ำมักเป็นที่อยู่ของงู เสือ หมี หรืออย่างน้อยก็ตะขาบแมงป่อง
ถ้ำที่มีค้างคาวยิ่งไม่น่าพักเพราะสกปรกแหละเหม็นขี้ค้างคาว อากาศก็มักอับชื้นหายใจลำบาก
แต่ตอนนี้หลบฝนในถ้ำย่อมดีกว่านั่งคลุมผ้าใบเป็นไก่ป่วยอยู่ข้างนอก
ถ้ำนี้กว้างใหญ่อากาศถ่ายเทดี เอาไฟฉายออกมาส่องดูไม่มีร่องรอยของสัตว์ใหญ่อาศัยอยู่ มีก้อนหินใหญ่ระเกะระกะในบางช่วง
เดินส่องไฟลึกเข้าไปสัก ๕๐ เมตร ก็เห็นว่าสุดทางที่จะไปต่อได้
ก้นถ้ำมีแค่ช่องโพรงแคบขนาดที่ถ้าจะเข้าก็ต้องนอนเลื้อยมุดเข้าไป ไม่รู้ว่าถ้ามุดเข้าไปด้านในจะกว้างขึ้นอีกหรือเปล่า ผมไม่ได้ใส่ใจเพราะต้องการแค่มาหลบฝนเท่านั้น
ภารกิจต่อไปคือรีบออกจากถ้ำก่อนฝนตกหนักเพื่อไปหาฟืนมาตุนไว้ ออกมาแถวหน้าถ้ำไม่ไกลก็มีต้นไม้ยืนต้นตายที่จะตัดเอาไปทำฟืนได้มากพอจะสุมไฟให้คุไปได้ทั้งคืน
ก่อไฟหุงข้าวกินกับเนื้อแห้งเสร็จผมก็งีบหลับไปท่ามกลางเสียงฝนโปรยไพร
ในป่าจะมืดเร็ว ผมลืมพกนาฬิกา พอหลับไปก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอน น่าจะหลับไปไม่นาน คงประมาณทุ่มกว่าๆ มีบางอย่างทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เป็นความรู้สึกของคนนอนป่ามาตลอด มีอะไรนิดหน่อยประสาทมันก็เตือนให้ตื่น
ผมหยิบไฟฉายส่องไปแล้วก็สะดุ้งเพราะเห็นคนมายืนอยู่หน้าถ้ำ เขายืนมองผมอยู่ ผมตกใจ นึกอะไรไม่ออกรีบกดไฟฉายให้แสงส่องลงพื้น ไม่ให้ส่องไปใส่หน้าเขา แล้วก็พูดว่า
“หลบฝนเหมือนกันเหรอครับ”
เขายังยืนนิ่งอยู่ผมก็บอกไปว่า “เข้ามาข้างในสิครับ”
ตอนนั้นไฟในกองมันหรี่ลงมาก ผมซุนฟืนเข้าไปไฟก็เริ่มสว่าง เห็นหน้าเขาชัดขึ้น
ตอนเอาไฟฉายส่องไปเห็นวูบเดียวมัวแต่ตกใจไม่ทันสังเกตหน้าให้ชัด
เขาเป็นผู้ชายอายุสัก ๕๐ กว่า ผมหงอกขาว แต่งตัวแบบชาวบ้านป่า สะพายปืนแก๊ปกระบอกยาวกับย่ามสีกระดำกระด่างบอกยี่ห้อพรานป่าเต็มตัว
ผมถามว่า “กินข้าวหรือยัง ข้าวผมมีนะ” แกก็ไม่ตอบอะไร เดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามผม แต่ห่างกองไฟออกไป ผมเห็นแกไม่พูดไม่จา ผมก็เลยเงียบบ้าง
ผ่านไปนาน แกก็พูดขึ้นมาว่า “มาจากไหน”
ผมก็ตอบแกไปตามจริง พอถามว่าแกมาจากไหนบ้าง แกบอก “แถวๆนี้”
ถามไปถามมาได้คำตอบไม่กี่คำ แกประหยัดคำพูดเหลือเกิน ผมชวนแกกินข้าว ถ้ากินจะหุงให้ แกก็ส่ายหน้า สักพักก็ลุกไปทางมุมถ้ำด้านในลึกๆ แล้วล้มตัวลงนอนในซอกหินซะอย่างนั้น
แกเงียบไป คงจะหลับไปแล้ว คนป่าอยู่ง่ายนอนง่าย แต่ก็ไม่เคยเห็นใครนอนง่ายขนาดนี้ แทนที่จะนอนใกล้กองไฟ ดันไปนอนทางก้นถ้ำไม่กลัวหนาวก็ควรจะกลัวงูเงี้ยวบ้าง
ก็เข้าใจนะว่าแกคงไม่อยากสุงสิงกับคนแปลกหน้า แต่ผมเจอพรานป่ามาก็มากไม่ยักเจอคนที่ดูไม่เป็นมิตรขนาดนี้
ผมยกไม้ท่อนใหญ่มาวางพาดกองไฟ ให้มันติดไฟคุไปทั้งคืน พอนานไปถึงเปลวไฟจะดับแต่ถ่านก็ยังติดแดงอยู่ ตื่นมาเมื่อไหร่แค่เติมเศษไม้เป่าลมไม่กี่ทีไฟก็ติดได้ง่าย
ผมล้มตัวลงนอนบ้าง แต่เพื่อความไม่ประมาท ปืนถูกวางข้างตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะยกขึ้นมาใช้ได้ในทันที
มีดอีเหน็บประจำตัวก็อยู่ในตำแหน่งที่จะคว้ามาใช้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ปกติแล้วเวลาเข้าป่าผมจะนอนเปล ปืนและมีดก็จะเอาไว้ข้างตัวพร้อมใช้งานตลอดเวลาเช่นนี้
นอนหลับไปนาน รู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงลมพัดอู้อยู่ข้างนอก ฝนกระหน่ำหนัก ลมกระโชกแรงเป็นพายุ ผมยัดไม้ฟืนเข้าสุมกองเป่าจนไฟติดดี เอามืออังไล่ความหนาว
เหลือบมองไปทางลุงพรานป่าก็เห็นไม่ถนัด เห็นแค่เงาซอกหินที่แกนอนเลือนรางในมุมมืด แกไม่หนาวมั่งหรือไงนะ ผมใส่เสื้อแขนยาวผ้าเนื้อหนายังหนาว แกใส่เสื้อบางนอนในซอกหินแบบนั้นคงเย็นเข้ากระดูก
ในถ้ำตอนนี้เริ่มมีน้ำซึมลงมาตามผนัง เพดานถ้ำบางแห่งมีน้ำหยดเปาะแปะ ไม่รู้ทางก้นถ้ำที่ลุงนอนอยู่จะเปียกหรือเปล่า พื้นถ้ำน่าจะต่ำกว่าทางที่ผมนอน แถวนี้ยังชื้นฉ่ำเลย ทางแกน่าจะเปียกชุ่ม แล้วแกนอนอยู่ได้ยังไง จะเดินไปดูก็ไม่ใช่เรื่อง เดี๋ยวแกระแวงยิงสวนตูมขึ้นมาผมก็ตายเปล่า ลุงแกนอนไม่สนใจฟ้าฝนเอาเสียเลย
ผมนอนไม่หลับแล้ว พื้นชักเปียกมาก หนาวด้วย เลยยกหม้อขึ้นมาต้มน้ำร้อน แกล้งทำเสียงโคร้งเคร้งให้แกหนวกหู จะได้ตื่นมาพูดจากันมั่ง
ต้มน้ำจนเดือดซดหมดไปถ้วยนึงลุงก็ยังเงียบอยู่ แกเป็นอะไรไปหรือเปล่าหว่า
ผมอดทนไม่ไหวลุกขึ้นเดินไปทางก้นถ้ำ ส่งเสียงเรียกนำไปก่อนว่า “ลุงๆ”
…เงียบ ไม่มีเสียงขานรับ
เดินใกล้เข้าไปอีก เรียกใหม่ว่า “ลุง กินน้ำร้อนมั้ย นอนไม่หนาวเหรอ”
…เงียบ
เฮ้ย ผมชักใจไม่ดี คราวนี้เรียกดังๆเลย
“ลุง เป็นอะไรหรือเปล่า ผมจะเดินเข้าไปนะ อย่ายิงล่ะ”
ไม่มีเสียงตอบ
ผมชะเง้อมองไปตรงมุมที่แกนอนก็มองไม่ถนัด มันมืด แสงจากกองไฟส่องทำให้เงาตัวผมบังไปทางก้นถ้ำ มองไม่ชัดเลย
ผมบอกอีกว่า “ลุง ผมจะฉายไฟนะ”
แกไม่ตอบ ผมก็ฉายไฟส่องไปทางมุมที่แกนอน แต่ไม่เห็นแก
ไม่มีคน?
ผมส่องไฟกวาดหาตรงมุมอื่นก็ไม่เห็น แกหายไปไหน
ในใจผมตั้งคำถามพร้อมๆกับรู้สึกเย็นวาบที่กลางหลัง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เอาแล้วไง ลุงเล่นกูแล้ว !
“ลุงๆ อยู่ไหน”
ผมเรียกเสียงดัง ส่องไฟหาไปทั่วถ้ำ ขาก้าวต่อไม่ไหว มันหมดแรงเอาดื้อๆ หนาวฝนทั้งคืนยังไม่เสียดกระดูกเท่าตอนนี้
ผมถอยหลังกลับมาที่กองไฟ ฟืนที่ตุนไว้ถูกลากมาสุมเพิ่มจนเปลวไฟสว่างโพลงไปทั่วถ้ำ
ผมทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นไปได้ไหมว่าลุงแกจะออกจากถ้ำไปแล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัว การที่ผมจะไม่ได้ยินเสียงแกเดินนั้นเป็นไปได้ เพราะฝนตกหนัก ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแกแน่
แต่ในเมื่อฝนตกหนักแล้วลุงแกจะฝ่าฝนออกไปทำไม ? จะว่าไปหากบหาอึ่งมาทำอาหารก็คงไม่ใช่ ฝนตกหนักอย่างนี้ไม่มีใครเขาไปกันหรอก ส่องไฟไปก็มีแต่น้ำฝนเข้าตา
หรือออกไปถ่ายท้อง แต่นี่มันนานแล้วแกน่าจะกลับมาได้แล้ว
หรือตอนผมหลับจะมีช่วงฝนซา แกบอกว่าอยู่แถวๆนี้อาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้
คิดแบบนี้ก็ปลอบใจตัวเองได้ดี
แต่พอนึกอีกที ถ้าบ้านแกอยู่ไม่ไกล แล้วตอนแรกแกจะมานอนในถ้ำทำไม ตอนแกเข้ามาฝนก็ลงแค่ปรอยๆนี่หว่า
เอ้อ มันก็แปลก ไอ้ความแปลกที่อธิบายไม่ได้นี่แหละทำให้เกิดความกลัว ผสมเข้ากับเสียงฟ้าฝนข้างนอกที่กำลังโหมหนัก ทำให้คนใจแข็งอย่างผมสะท้านไปทั้งตัวเหมือนไข้ป่าเปลี่ยวดำจะจับขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น
เวลานี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำจิตใจให้เข้มแข็ง ขืนปล่อยจิตให้เตลิดไปตามความกลัวอาจถึงขั้นสติแตกเอาได้ ผมนั่งสวดมนต์แผ่เมตตา ว่าคาถาที่ครูพรานสอนไว้ สงบจิตใจให้นิ่ง พอสวดมนต์ไปเรื่อยๆความกลัวค่อยทุเลา
ผมคะเนเวลาว่าใกล้เช้า ลมฝนข้างนอกก็เบาไปแล้ว ผมยกหม้อมาตั้งไฟหุงข้าวเตรียมไว้ ถ้าฟ้าสว่างฝนหยุดเมื่อไหร่จะได้ออกเดินทาง
ถ้ำนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ ออกไปคงมุ่งเข็มกลับบ้าน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์คุณลุงหายตัวปริศนาผมคงเดินหน้าสำรวจไปต่ออีกสักสองวันค่อยเดินทางกลับ
รุ่งเช้า ฟ้าสว่าง ฝนหยุด ไอหมอกขาวไปทั่วป่า รอให้แดดส่องน้ำค้างตามใบหญ้าหมาดลงเดินง่ายกว่านี้สักนิดผมจะออกเดินทาง
รอเวลาด้วยการนั่งกินข้าวกับเนื้อแห้งเมนูเดิม ห่อข้าวที่เหลือไว้กินมื้อเที่ยง ล้างหม้อข้าว พรากไฟจากกองให้ดับ พับเสื้อกันหนาวยัดใส่เป้ เก็บของเรียบร้อยผมเตรียมออกเดินทาง
แล้วก็นึกอยากให้หายสงสัยขึ้นมา ผมเดินไปทางก้นถ้ำ ตั้งใจว่าต้องส่องไฟฉายดูให้ทั่ว พอส่องไปถึงตรงซอกหินที่ลุงนอนเมื่อคืนเท่านั้นแหละผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าลุงพรานเมื่อคืนหายไปไหน
ตรงซอกหินนั้นมีโครงกระดูกเก่าจนเสื้อผ้าเปื่อยผุ เศษกระดูกกระจัดกระจายคล้ายรอยสัตว์กัดแทะ หัวกะโหลกอยู่ทางไหนมองไม่เห็น
แต่สิ่งที่ยืนยันว่าเป็นกระดูกคนแน่ก็คือมีปืนแก๊ปกระบอกยาวสนิมเขรอะเกรอะกรังอยู่ในซอกหิน ผมมั่นใจว่าใช่กระบอกเดียวกับที่เห็นลุงสะพายอยู่เมื่อคืน !
- เรื่องแต่ง จากประสบการณ์เดินป่าผสมกับเรื่องเล่าขานของมิตรสหายชาวดง -
- ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายจากในป่าของประเทศลาว -​
ถ้าอ่านแล้วชอบก็ขอเชิญกดติดตามกันนะครับ
โฆษณา