11 ก.ค. 2019 เวลา 01:01
Where We Could Meet
Prologue
'หญิงสาวที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงไฟ แม้ไม่เคยหวาดกลัวความมืด
ชายหนุ่มที่โอบกอดความมืด แต่ในใจกลับโหยหาแสงสว่าง'
แสงไฟที่ส่องแสงระยิบระยับทั่วงานเลี้ยง เผยให้เห็นแขกเหรื่อจำนวนมากที่ต่างพร้อมเพรียงกันวาดลวดลายด้วยการเต้นรำลงบนฟลอร์อย่างสนุกสนาน ท่ามกลางผู้คนมากมาย หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวฟูฟ่องได้แต่มองไปมาด้วยความตื่นตระหนก
นี่เป็นงานวันเกิดปีที่ 18 ของเธอ น่าเศร้าที่ดูเหมือนผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเหตุผลหลักที่มีการจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นมาก็ตาม
"องค์หญิงฟลอร์ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ" เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาต้นเสียงแล้วส่งรอยยิ้มแห้งไปให้อย่างไม่เต็มใจนัก เธอมองคนรับใช้คนสนิทด้วยแววตาเศร้าสร้อย
"คุณพิสเทียร์ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ฝากบอกท่านพ่อให้ด้วยนะคะว่าฉันขอออกไปสูดอากาศด้านนอกเสียหน่อย" ทันทีที่พูดจบ เธอก็เดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อตรงไปยังทางออกของห้องโถงทันที
กึก กึก
เสียงรองเท้าแก้วกระทบกับพื้นหินสีขาวดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน เธอมุ่งหน้าไปยังประตูสุดทาง ก่อนจะเปิดออกอย่างไม่ลังเล
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามาเหยียบสถานที่แห่งนี้ แต่ทุกครั้งที่กลิ่นดอกกุหลาบอ่อนๆโชยออกมาต้อนรับพร้อมกับสายลมก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจได้เสมอ
สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าบางทีทั้งหมดนี่อาจเป็นเพียงความฝัน
ทุ่งหญ้าสีเขียวที่ดูกว้างใหญ่ ตรงกลางมีทางเดินปูหินอ่อนเรียบๆ สองข้างทางประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ และใจกลางของสวนดอกไม้แห่งนี้ก็คือ ศาลาเมเลเบล
สถาปัตยกรรมอันงดงามที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางธรรมชาติจนดูเหมือนมันถูกสร้างขึ้นมาจากพรของเหล่าเทพ ตัวอาคารสร้างจากหินอ่อนที่เมื่อยามแสงจันทร์ตกกระทบก็จะเรืองแสงสีนวลออกมา ภายในศาลามีเพียงโต๊ะสำหรับการดื่มน้ำชา หากแต่ลวดลายที่ใช้ในการแกะสลักขาของโต๊ะนั้นช่างประณีตเหลือเกิน
บรรยากาศในตอนนี้เหมือนเทพนิยายไม่มีผิด ทั้งกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ หรือแม้แต่หิ่งห้อยที่ต่างออกมาเต้นระบำหยอกล้อกับแสงจันทร์ ยิ่งกว่านั้น หญิงสาวที่ยืนมองศาลาอยู่ก็ให้ความรู้สึกของเจ้าหญิงน้อยแสนบริสุทธิ์ที่มองการเฉลิมฉลองตรงหน้า
 
ดวงตาสีฟ้าใสที่เมื่อยามมองก็เหมือนได้เห็นมหาสมุทรอันกว้างไกล เส้นผมสีทองยาวสลวยถึงกลางหลัง รวมทั้งชุดสีขาวซึ่งประดับประดาด้วยไข่มุก และเพชรพลอยจนเปล่งแสงประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืด
ช่างเป็นความบังเอิญที่สวยงามเหลือเกิน...
พึ่บ...
ยังไม่ทันที่ฟลอร์จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ จู่ๆ คบเพลิงทุกจุดก็ดับลงอย่างพร้อมเพรียง
น่าแปลกที่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกตกใจหรือหวาดกลัวอะไร ตรงกันข้าม เธอกลับยิ้มแล้วรีบมองหาตัวการทันที
"โรดอน ขอโทษที่มาสายนะคะ" เธอก้าวเดินขึ้นไปบนศาลา สถานที่แห่งเดียวที่ตอนนี้ยังคงมีแสงไฟจากคบเพลิงอยู่
"อืม...ดับไฟให้ดีมั้ยน้า ยังไม่เห็นคุณเลยนี่นา" เธอหัวเราะเบาๆกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายยอมตอบกลับมาเสียที
"ไม่ดับแล้วจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ เธอนี่!" สิ้นคำพูดของเขา เธอก็วาดวงเวดขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะผลักวงเวทเหล่านั้นใส่คบเพลิงทุกอัน ใช้เวลาไม่นาน จากสถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ก็กลายเป็นความมืดที่เงียบสงัดจนน่ากลัว
"เป็นเด็กไม่ดีเลยน้า แอบหนีออกมาจากงาน
แบบนี้น่ะ" ทันทีที่ความมืดเข้าครอบงำบริเวณ ชายหนุ่มร่างโปร่งก็ปรากฏตัวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใครหลายคนขนลุกซู่ แต่สำหรับหญิงสาวตรงหน้า เธอมองว่ามันคืองานศิลปะชิ้นเอกเลยทีเดียว
"ไหนของขวัญล่ะคะ?" เจ้าหญิงผู้เอาแต่ใจเลือกที่จะเมินคำถามของอีกฝ่าย แล้วถามกลับด้วย
น้ำเสียงอ้อนๆ
"ก่อนที่จะให้ บอกฉันหน่อยสิ ดอกไม้ที่เธอชอบคือดอกอะไร?" หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิด เธอชอบดอกไม้มาตั้งแต่เด็กๆ คุณแม่ของเธอเป็นคนที่ปลูกฝังเรื่องนี้ให้เธอ ราชินีเล่าว่าในบางครั้งที่คำพูดไม่สามารถใช้สื่อความรู้สึกออกไปได้ การให้ดอกไม้แก่ใครซักคน ก็เหมือนเป็นการสารภาพความในใจแก่เขา เพียงแต่เราต้องเลือกดอกไม้ให้ตรงความหมายเท่านั้น
เธอรู้จักดอกไม้แทบทุกประเภท และจำความหมายของพวกมันได้แม่นยำ ดูเป็นเรื่องน่าตกใจที่หญิงสาวแสนซุกซนจะมีมุมที่ยังคงดูอ่อนหวานซ่อนอยู่
"ไฮเดรนเยียค่ะ ฉันชอบดอกไฮเดรนเยีย" หลังจากที่คิดอยู่นาน เธอก็ตอบออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
ไฮเดรนเยีย ดอกไม้สีครามอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกสบายตาทุกครั้งที่มอง หลายๆคนคิดว่า
ดอกไฮเดรนเยียสื่อถึงความเย็นชา คนที่ไร้ความรู้สึก หรือความโศกเศร้า แต่สำหรับเธอ เธอมองว่าดอกไม้ชนิดนี้ช่างดูบอบบางเหลือเกิน ราวกับนางฟ้าตัวน้อยที่ต้องการการทะนุถนอม
"ว่าแล้วเชียว แย่หน่อยนะ ฉันหาไม่เจอเลย แต่ดอกคาร่า ลิลลี่ ก็คงไม่เสียหายใช่มั้ย?" หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสายพลังที่หมุนวนอยู่รอบข้อมือเธอ เมื่อก้มลงไปมอง ก็พบสร้อยข้อมือทองคำขาว ที่มีจี้เป็นลูกแก้ว ข้างในบรรจุดอก คาร่า ลิลลี่ แบบย่อส่วนไว้
"คุณ... รู้ความหมายของดอกไม้นี้รึเปล่าคะ?" ฟลอร์ถามเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้านวลขึ้นสีแดงสุกปลั่ง
ดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายที่ค่อนข้างกำกวม และบางครั้ง ในแต่ละพื้นที่ก็มีการให้ความหมายของดอกไม้ที่แตกต่างกันอีกด้วย เธอไม่แน่ใจว่าดินแดนของอีกฝ่ายให้นิยามความหมายของดอกไม้สีขาวตรงหน้าว่าอย่างไร แต่สำหรับเธอนั้น เธอนึกออกเพียงแค่สองอย่าง...
แสงสว่าง และ... การขอแต่งงาน...
"หืม แปลว่าแสงสว่างใช่มั้ย? ฉันเห็นแล้วก็นึกถึงเธอทันทีเลย จริงๆตั้งใจว่าจะหาดอกเยอบีร่าให้ แต่ว่าสีมันไม่เข้ากับเธอเท่าไหร่" หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกปนผิดหวังเล็กๆ แต่แล้วเธอก็ยิ้มกว้างเมื่อทวนคำพูดของชายหนุ่มอีกรอบ
ดอกเยอบีร่า เธอคือดวงอาทิตย์ของฉัน...
"ดอกลิลลี่นี่ก็สวยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้มหวาน ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปที่กลีบดอกไม้อันเปราะบางในลูกแก้วใส เธอเลื่อนมืออีกข้างไปแตะมันเบาๆแล้วยิ้มกว้างขึ้นเมื่อพบว่ากลีบดอกเรืองแสงสีทองอ่อนตอบกลับมา
"ถึงฉันจะอยู่กับแสงสว่างไม่ค่อยได้ แต่ที่นู่นก็พอมีคนใช้เวทย์แสงได้อยู่นะ" โรดอนอธิบายด้วยรอยยิ้ม
"ชั้นมีของจะให้คุณด้วยนะคะ" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากสร้อยข้อมือ และเริ่มร่ายเวทย์มนตร์ของตนเองขึ้นบ้าง
"หืม? นี่มัน...!?" ชายหนุ่มมองขวดโหลที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึงในขณะที่ฟลอร์ส่งยิ้มอันงดงามให้
ขวดโหลที่ดูธรรมดา หากแต่ด้านในบรรจุดวงดาวเรืองแสงไว้นับร้อย ในตอนแรกโรดอนรู้สึกชื่นชมในความงามของแสงนั้น แต่แล้วเขาก็พบว่า ท่ามกลางดวงดาวที่ลอยไปมาในขวดแก้วอย่างอิสระ ก็มีมณีเม็ดงามหมุนอยู่ด้านในด้วยเช่นกัน
อัญมณีสีดำขลับ แต่เพราะพื้นผิวของมันสะท้อนแสง จึงขับให้แสงไฟที่ตกกระทบดูสว่างไสวยิ่งขึ้น
“ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้ฉันมองเห็นความงดงามของความมืด...” เธอเงยหน้ามอบรอยยิ้มที่มีค่ามากยิ่งกว่าอัญมณีใดในโลกให้แก่เขา
“ขอบคุณเช่นกัน ที่ทำให้ผมรู้ว่ามันเข้ากับแสงสว่างได้ดีแค่ไหน” เขาก้มลงส่งสายตาราวกับว่าเธอคือสิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขา
ขอบคุณ ที่ทำให้รู้ว่าพวกเขายังเป็นที่ต้องการ ไม่ใช่แค่กับคนในอาณาจักร...
Talk//
สวัสดีค่ะ! ขอฝากลูกสาวลูกชายสุดที่รักแก่ทุกคนด้วยนะคะ// เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งไว้นานมากแล้ว แต่เห็นว่าน่ารักดีค่ะ เลยจับมาปัดฝุ่นเขียนใหม่ซะเลย ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ รักนักอ่านทุกคนมากๆ ขอบคุณค่ะ💕❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา