12 ก.ค. 2019 เวลา 06:30
“ต้องโทษดาว” (1)(1)
[เรื่องสั้นจากบทเพลง]
’ความจริงที่ฉันต้องการเก็บไว้
มันทำให้ฉันต้องคอยห่างเธอ’
หยดน้ำที่เกาะบนหน้าต่างสะท้อนให้เห็นภาพของร่างบางที่ยกมือขึ้นมัดผมสีถ่านของตนเองอย่างลวกๆ
มือบางหยิบตลับรองพื้นขึ้นมาเปิด เธอถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ามนของตนเองในกระจก
นัยต์ตาสีฟ้าขุ่นหมองตัดกับขอบตาสีคล้ำซึ่งเป็นผลจากการอดหลับอดนอนเพื่อให้เรียนจบและรอดจากชีวิต
ไฮส์คูลปีสุดท้ายมาได้อย่างหวุดหวิด ริมฝีปากบางแห้งผาก โชคดีหน่อยที่สิวไม่ขึ้น ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้เวลาแต่งหน้านานแน่ๆ
เธอเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าโมงเย็น ท้องฟ้ากำลังเป็นสีชมพูส้มชวนให้นึกถึงลูกอม ต้องพยายามไม่น้อยเลยเพื่อหักห้ามใจตนเองไม่ให้เดินออกไปถ่ายรูปเก็บไว้
“ต้องรีบแล้ว...” เมื่อแต่งหน้าเสร็จหลังจากผ่านไปสิบห้านาที หญิงสาวก็เอื้อมมือไปดึงยางมัดผมตนเองออก เส้นผมสีดำยาวสลวยเป็นลอนตกลงมาจนเกือบถึงกลางหลัง เธอคว้าหวี และน้ำมันเพื่อจัดการกับผมของตนเองอย่างลวกๆ หลังจากที่เถียงกับตัวเองอยู่นานระหว่างแต่งหน้าก็ตกลงได้ว่าจะปล่อยผมไว้เหมือนเดิม
‘ยังไงก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว’ ชุดเดรสสีขาวที่ยืมมาถูกดึงออกจากตู้เสื้อผ้า เธอทาบมันลงกับร่างของตนแล้วมองในกระจก
‘ก็ไม่ได้แย่...’ เสื้อยืดสีเทาถูกดึงออกทางหัวพร้อมๆกับที่มืออีกข้างผลักให้กางเกงขาสั้นสีฟ้าลงไปกองกับพื้น เธอรีบสวมชุดเดรสอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหมุนตัวรอบกระจกเพื่อเช็คตัวเองอีกครั้ง
‘ไม่กล้ามอง ไม่จ้องตา ไม่ค่อยมาเจอ’
กริ๊ง...
แก้วน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมกระทบกันจนเกิดเสียง หญิงสาวนั่งมองเพื่อนๆที่พูดคุยกันเสียงดังอยู่เงียบๆ
ไม่ทันไร ดวงตากลมโตก็เริ่มทำสิ่งที่คุ้นชินอีกแล้ว ไม่ต่างอะไรจากนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย ภาพของบุคคลที่เข้ามาอยู่ในสายตาเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในรั้วโรงเรียน คนคนนั้นก็ยังคงเป็นบุคคลที่เธอหันมองด้วยความถวิลหามาตลอดระยะเวลาสามปี
‘อ่า...’ เมื่อถูกจับได้ว่าเผลอแอบมอง เธอก็รีบหลุบตาลงทันที ก่อนจะเริ่มเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเคยชิน
“ไม่ชอบหรอ?” เพื่อนสาวหันมาถามเมื่อสังเกตุว่าเธอเงียบผิดปกติ อันที่จริงเธอไม่ได้อยากมางานนี้เท่าไหร่ แต่มันค่อนข้างสำคัญ ถ้าไม่มา ก็ดูจะเสียมารยาทไม่น้อยเลย
“เปล่า... แค่เหนื่อยๆ” เธอส่งยิ้มบางๆไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือก่อนจะขอตัวเข้าห้องน้ำ เธอรู้ดีว่าเพื่อนเธอคงไม่เชื่อ แต่ก็นะ ถึงถามอะไรตอนนี้เธอก็ไม่คิดจะตอบอยู่แล้ว
แก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะกระเบื้อง เธอเตือนตัวเองไม่ให้หยิบขึ้นมาดื่มอีกเป็นรอบที่สองหลังจากที่กลับมาจากห้องน้ำ ก็ถูกสอนมาแบบนี้นี่นา...
ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสุขา บุคคลที่อยากเลี่ยงมากที่สุดก็เดินผ่านมาจนได้ ทั้งๆที่ไม่อยากสนใจ แต่ตอนนี้เธอกลับจ้องมองเขาราวกับแสงไฟสุดท้ายในชีวิตเธอ
’เดี๋ยวจะเผลอเกิดหลุดปากอะไรไป’
หญิงสาวสถบด่าตัวเองในใจ ก่อนจะรีบก้าวเท้าให้ไวยิ่งขึ้นเพื่อเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เสียงเรียกจากอีกฝ่ายทำให้เธอต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปตอบรับ
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” เขายิ้มให้เหมือนทุกที รอยยิ้มที่เธอเห็นจนเอียน แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เธอก็รู้ดีที่สุดว่ามันเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธออยากตื่นมาโรงเรียน
“งานสุดท้ายแล้วนี่...” หญิงสาวพึมพำตอบ เธอรู้ดีว่าควรก้มลงเพื่อขอตัวและไปได้แล้ว แต่อีกใจก็อยากยืนตรงนี้อีกซักนิด
ยังไม่ทันได้ชวนคุยต่อ อีกฝ่ายก็หันหลังเดินหายไปเสียอย่างนั้น เธอยืนมองแผ่นหลังของเขา ก่อนจะต้องก้มหน้าลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปทักทายคนอื่นต่อด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เขาเพิ่งมอบให้เธอ
‘เหนื่อย...’ หญิงสาวนั่งลงด้านหน้าประตูงาน เธอมองรองเท้าส้นสูงของแม่ที่เธอสวมอยู่ ก่อนจะขยับมันไปมาเพื่อเขี่ยก้อนหินเล่น
“จะกลับแล้วหรอ?” จู่ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังจนเธอสะดุ้ง เมื่อหันกล้บไปมองก็พบกับคนที่เป็นสาเหตุให้เธอมานั่งกร่อยอยู่ตรงนี้ทั้งๆที่วันนี้ควรเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุด
“เปล่าค่ะ แค่ไม่ชอบเสียงดังเฉยๆ” พูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงจันทร์ที่แม้ตอนนี้จะเห็นเพียงเสี้ยวเดียวกลับเปล่งแสงนวลงดงามอย่างน่าประหลาด เมื่อบวกกับเหล่าดวงดาวที่รายล้อมห้อมแสงอันงดงามนั้นมันก็ทำให้เธอนึกถึงคนข้างๆขึ้นมา ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้เริ่มตีตื้นขึ้นจนเธออยากลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปให้ไกล
‘บังเอิญคืนนั้นพระจันทร์สุดสวย’
“อ่า...” เธอหันไปมองคนข้างกาย แสงจากท้องฟ้ายามราตรีเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าของเขาเพียงสลัวๆ แต่ดวงตาสีฟ้าใสราวท้องทะเลคู่นั้นกลับเปล่งประกายงดงามจนเหมือนกับว่าเขากำลังแข่งขันกับเหล่าดาราบนท้องนภา
‘บังเอิญตอนนั้น เหลือเธอกับฉัน’
เมื่อรู้ตัวว่าถูกลอบมอง ชายหนุ่มก็หันกลับมาสบตาเธอ ดวงตาสองคู่ที่มีสีคล้ายคลึงกันแต่กลับแตกต่างกันอย่างน่าประหลาดทำให้เธอต้องข่มใจตนเอง
คู่หนึ่งส่องแสงระยิบระยับเหมือนหยดน้ำค้างในยามเช้า ส่วนอีกคู่หม่นหมองราวน้ำทะเลในตอนค่ำคืน
‘ทั้งสายลมและแสงดาว ก็เหมือนแกล้งกัน’
เธอมองตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ สองใบหน้าห่างกันในระยะที่ไม่ใกล้จนทำให้เข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้ไกลขนาดที่จะห้ามไม่ให้ใจดวงน้อยของหญิงสาวสั่นไหว สายลมเย็นพัดเส้นผมที่มักเป็นเหมือนกำแพงของเธอให้ทลายลง เหลือเพียงใบหน้ามนที่ดูไร้ซึ่งความรู้สึก ดวงดาวที่อยู่ห่างไกลบนท้องฟ้าทำให้ใบหน้าของเขาชัดยิ่งขึ้น เธอมองเห็นรายละเอียดเล็กๆบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนจนได้แต่ภาวนาให้เมฆบนฟ้าบดบังแสงเหล่านั้นเสียที
‘บังคับกัน จนฉันทนไม่ไหว’
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” คำถามที่แสดงถึงความห่วงใยเหมือนทุกครา น้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่ค่อยเห็นเขาใช้บ่อยนัก เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับมันดี ใจหนึ่งรู้สึกดีใจ ไม่ใช่ทุกคนที่จะพยายามปรับตัวกับเธอมากขนาดนี้ แต่อีกใจก็รังเกียจตัวเอง ทำไมนะ? ทำไมเธอต้องอ่อนแอขนาดนี้ด้วย...
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่วยหัวไปมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กักเก็บไว้มาสามปีจะต้องถูกเก็บซ่อนไว้แบบนี้อีกนานเท่าใด
“เข้าไปในงานเถอะค่ะ เราอยากอยู่สูดอากาศตรงนี้อีกหน่อย” เธอฝืนยิ้มออกไป น้ำเสียงของเธอแหบแห้ง จริงๆก็อยากจะโบ้ยว่าเป็นความผิดของน้ำเปล่าที่ดื่มไปเมื่อครู่นี้อยู่หรอก แต่เหตุผลนี้ช่างฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
“มีเรื่องอะไรก็บอกกันสิ” เขานั่งลงข้างเธอโดยเว้นระยะห่างไว้อย่างให้เกียรติ ทั้งๆที่เขาเองก็คงอยากรู้แต่ก็ทนเงียบรอจนกว่าเธอจะเล่าให้ฟังโดยไม่เร่งเร้าให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ
‘ไม่มีทางหนีได้เลย ฉันเลยต้องเอ่ยปาก’
“มันเป็นเรื่องไร้สาระค่ะ” เธอตอบเบาๆหลังจากที่เงียบไปสักพัก เธอทำใจไม่ได้จริงๆ แค่คิดว่าจะต้องทำลายรอยยิ้มที่งดงามแบบนั้นก็ทำให้เธอปวดใจไปหมด
“งั้นก็เล่ามาสิ” อยากส่ายหน้า อยากผลักให้เขากลับไป อยากตะโกนไล่ให้เขาหวาดกลัว
แต่ก็อยากพูดความจริงเช่นกัน
“...” เมื่ออีกฝ่ายดื้อดึง เธอจึงตัดสินใจตอบออกไป จู่ๆการกลืนน้ำลายก็ดูเป็นเรื่องยากลำบากไปเสียอย่างนั้น
‘บอกรักเธอ รักเธอมานานแสนนาน’
“เราชอบคุณค่ะ” พูดเสร็จ เธอก็หันไปยิ้ม ราวกับว่ามันเป็นเพียงประโยคบอกเล่าธรรมดา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ในใจของหญิงสาวรู้ดีว่าเสียงกรีดร้องในอกกำลังตะโกนบอกเธอว่านี่ไม่ใช่ความชอบ มันคือความรัก แต่เธอไม่สามารถเงื้อมมือขึ้นเพื่อทุบเกราะแก้วอันเปราะบางของอีกฝ่ายได้อีกแล้ว
“อะไรนะ...?” หญิงสาวหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวอีกครั้ง จู่ๆแสงจากดวงดาวก็ดูสว่างมากขึ้น จู่ๆดวงตาของเธอก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
“ก็นั่นแหละค่ะ ไร้สาระเนอะ ฮะๆ” เธอหัวเราะ มือข้างหนึ่งยกขึ้นพันเส้นผมตนเองเล่น
‘ไม่อยากให้รู้ให้จำ ไม่อยากทำให้รำคาญ’
“มันก็แค่ความรู้สึกของเราน่ะค่ะ” เธอพูดต่อทั้งๆที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่กับเหล่าดารา เกลียดตัวเองเหลือเกินที่ไม่เหลือความกล้าแม้แต่จะหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่าย สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าจะต้องเจอกับอะไร แววตาที่ว่างเปล่า...
“เธอ...” หยดน้ำใสเอ่อล้นดวงตาสีฟ้าหม่น เธอพยายามภาวนาให้มันต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ซักครั้ง เธอไม่อยากอ่อนแอตอนนี้ ไม่อยากใช้น้ำตาแบบนี้เลย
ไม่อยากทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้ความอดทนที่เก็บสะสมมาหลายปีกำลังค่อยๆพังทลายลงอย่างช้าๆ
‘เพียงแต่คืนนั้น ทุกอย่างบอกชั้น ว่าต้องพูดความจริง’
“ขอตัวนะคะ...” หญิงสาวก้มตัวลงเล็กน้อย สองขาบางที่สั่นจนเธออยากลงไปนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ให้สมกับความรู้สึกในใจที่ปั่นป่วนเหมือนพายุค่อยๆก้าวออก เธอพาตนเองเข้าไปในงานอย่างทุลักทุเล หลังมือใช้ปาดน้ำตาลวกๆ มาสคาร่าที่ทามาคงเลอะจนดูน่า
เกลียดมากแน่ๆ
“เดี๋ยวสิ!” เสียงนั่นดังพอจะทำให้คนที่ยืนคุยอยู่บริเวณหน้าประตูต้องหันมามองแต่หญิงสาวกลับไม่สนใจ เธอก้าวเดินไปเรื่อยๆราวกับว่าเสียงเพลงกำลังบังคับให้เธอเคลื่อนไหว เพิ่งเข้าใจความรู้สึกเจ้าหญิงเอเรียลก็ตอนนี้ ความรู้สึกที่เหมือนมีเศษแก้วทิ่มแทงฝ่าเท้าทุกครั้งที่ก้าวเดิน แต่หากหยุด จิตใจของเธอก็คงแหลกสลายกลายเป็นฟองคลื่นเช่นกัน
‘เธอมันโง่ที่สุด...’ หญิงสาวตอกย้ำความโง่เขลาของตนเอง หยดน้ำตาที่เพิ่งถูกเช็ดไปเริ่มไหลออกมาอีกรอบ ลวดลายดอกไม้บนพื้นเริ่มพร่าเลือน เธอขยี้ตาตัวเองแรงๆอย่างหงุดหงิด สองเท้าเจ็บระบมไปหมด แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่ได้ใส่ใจเลยซักนิด
 
เธอเป็นคนเลือกที่จะทำลายความสัมพันธ์ที่ไม่มีอยู่จริงด้วยคำพูดของเธอ ดังนั้น เธอก็จะก้าวเหยียบเศษความรู้สึกที่แตกหักนั่น แม้เธอจะต้องเจ็บเจียนตายก็ตาม...
Talk//
เปิดพื้นที่เวิ่นให้ตัวเองอีกแล้วค่ะ 555 ช่วงนี้ฟังเพลงอะไรไม่ได้เลย เป็นต้องหยิบมาแต่งตลอด เพลงนี้ทำเราจุกมากค่ะ ฟังแล้วน้ำตาจะไหลทุกที ยังไงก็อยากให้ทุกคนลองไปฟังดูนะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะ^^ ขอบคุณนักอ่านทุกคนค่ะ💕❤️
ต้องโทษดาว - เบิร์ด ธงไชย Cover By สมอารมณ์, น้ำใส

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา