21 ก.ค. 2019 เวลา 03:49 • ความคิดเห็น
ถึงเวลาของทองคำแล้ว หรือยัง..?? / เขียนโดย Chaiwat.K
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา...ผมได้ไปเดินแถวเยาวราชผ่านร้านทองหลายร้าน ทำให้นึกถึงบรรยากาศช่วงหนึ่งที่ราคาทองขึ้นไปถึง 27,000 หรือถ้าเทียบเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ตอนนั้นก็อยู่ราวๆ 1,900 $ ได้
อารมณ์นักลงทุนในช่วงนั้นเหมือนยุคตื่นทองอีกครั้ง สังเกตได้จากคิวต่อแถวซื้อขายกันที่ยาวล้นออกมาข้างนอกร้านจนแทบจะไม่มีที่ยืน
ที่มา : สมาคมค้าทองคำ
ซึ่งตอนนั้นก็มีคนคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะขึ้นไปถึง 30,000 บาทด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา คงไม่ต้องพูดต่อนะครับว่าส่วนใหญ่ติดดอยกันไปที่ราคาเท่าไหร่บ้าง
.
แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น !!
ทำไมอยู่ดีๆมีคนพูดถึงเรื่องราคาทองคำ ว่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
ที่มา : Bloomberg
สาเหตุมันก็มาจากราคาทองในตลาดโลกอยู่ดีๆก็ทำ high ใหม่ในรอบ 6 ปี ที่บริเวณ 1,450 $ ก่อนจะลดความร้อนแรงลงมาปิดสัปดาห์ไปที่ 1,426 $
ซึ่งก่อนที่ราคาจะทำ high ใหม่ได้ไม่กี่วัน ก็มีผู้จัดการกองทุนชื่อดัง Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุน Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่ิอว่า
ยุคใหม่ของทองคำได้เริ่มขึ้นแล้ว ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยที่ตกต่ำลงทั่วโลก
ที่มา : Bloomberg
โดยเขามองว่านักลงทุนควรมีทองคำติดพอร์ตเอาไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงและยังสร้างผลตอบแทนได้ด้วย
ทำให้เหล่าบรรดาสาวกของ Ray Dalio ต่างพากันตอบรับความเห็นเขา ผ่านราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความจริงแล้วราคาทองคำที่ขึ้นมานั้น มันมีเหตุผลมากกว่าการที่ Ray Dalio ออกมาพูด เหตุผลที่ว่าก็คือความกลัว เพราะความกลัวเป็นของคู่กันกับทองคำอยู่แล้ว ยิ่งความกลัวมีมากขึ้น ราคาทองคำก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
ความกลัวที่ว่านี้มีอะไรบ้าง..??
กลัวที่ 1.)
กลัวว่าเงินที่ตัวเองถืออยู่ในมือจะมีมูลค่าลดลง ซึ่งเกิดจากหลายประเทศทั่วโลกต่างพยายามจะทำให้เงินของประเทศตัวเองอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้า ผ่านการใช้นโยบายการเงิน เพื่อที่จะได้ดุลการค้าจากการส่งออกเพิ่มมาขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การเข้าไปแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยการกดดันให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับประเทศที่สหรัฐฯค้าขายด้วย
ทำให้ "ทองคำ" กลายเป็นทางเลือกที่จะรักษาอำนาจซื้อของเงิน (Purchasing power) แทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะข้างหน้า
ราคาทองคำ (สีขาว) เทียบ Yield พันธบัตร US 10 ปี (สีเหลือง) / ที่มา Bloomberg
รูปนี้ทำให้เราเห็นภาพว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำ กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่มันลดลง ราคาทองคำมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
การที่ผลตอบแทนพันธบัตรลดลงนั้นก็มาจากดอกเบี้ยในตลาดที่ลดลง ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่านั้นเอง และค่าเงินดอลลาร์เองก็มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทองคำซะเป็นส่วนใหญ่
กลัวที่ 2.)
ทุกคนเคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ
.
" ทุกๆ 10 ปี จะมีวิกฤตเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง "
เศรษฐกิจของอเมริการอบนี้ขยายตัวยาวนานที่สุด 121 เดือน / ที่มา J.P.Morgan
หลังจากวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 มาถึงปีนี้ 2019 เหตุการณ์ก็ผ่านมาแล้ว 10 ปีพอดี อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ซึ่งปัจจุบันดัชนี S&P500 ก็ทำ All time high เกิดจุดสูงสุดใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นการที่มีสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับหุ้นน้อยเช่น ทองคำ เอาไว้ในพอร์ตตอนนี้ก็ทำให้เราอุ่นใจได้ไม่ใช่น้อย
กลัวที่ 3.)
การที่ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาหลังจากวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ามาตรการ Quantitative Easing หรือที่เรียกสั้นๆว่า QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นอเมริกาเดินทางมาถึงจุดนี้
อย่างที่ทุกคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า " โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ " เช่นกัน ท่ามกลางภาวะตลาดที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
" หนี้ " ผลที่เกิดจากมาตรการ QE ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ด้วยเช่นกัน
ที่มา : US Debt Clock.org
หนี้มหึมาก้อนนี้ จะว่าไปก็เหมือนระเบิดเวลาที่นับถอยหลังรอวันระเบิด หรือวิกฤตครั้งต่อไปจะเรียกชื่อว่า " Big debt crises "
กลัวที่ 4.)
ความเสี่ยงที่เรียกว่า ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ไม่ว่าจะเป็นปัญหาพรมแดนไอร์แลนด์เหนือที่ทำให้เกิด Brexit ความตึงเครียดที่บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ไหนจะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
กลัวที่ 5.)
กลัวเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ไม่ว่าจะเป็น PMI ภาคการผลิตที่ต่ำกว่าระดับ 50 ในหลายๆประเทศ ตัวเลขเงินเฟ้อต่ำไม่เข้าเป้า รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนถูกปรับประมาณการลงต่อเนื่อง
และที่ชัดที่สุดก็คือ ความน่าจะเป็นในการเกิด Recession ซึ่งจัดทำโดย Fed สาขา New York
ที่มา : Bloomberg
ย้อนหลังไป 20 ปี เมื่อความน่าจะเป็นเกินระดับ 40% ขึ้นไป จะตามมาด้วย Recession เสมอ โดยครั้งแรกคือ วิกฤตฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 และครั้งที่สองคือ วิกฤตซับไพรม์ในปี 2008
แต่ถ้าดูย้อนหลังไปมากกว่า 20 ปี ก็เคยมีบางช่วงเหมือนกันที่เกิด Recession โดยที่ความน่าจะเป็นอยู่แค่ 30% กว่า ( ปัจจุบันอยู่ที่ 32.8% )
1
.
มาถึงตรงนี้อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่า ทองคำรอบนี้จะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่หรือแค่ช่วงสั้น
ต้องบอกว่าไม่มีใครหยั่งรู้ฟ้าดินได้ครับ แต่ถ้าตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของยุคทองคำ อย่างที่ Ray dalio พูดไว้ อย่างน้อยทุกคนก็น่าจะรู้แล้วว่าเหตุผลที่ราคาขึ้นรอบนี้มีปัจจัยอะไรบ้าง และการที่เรามีทองคำอยู่ในพอร์ตก็ถือว่า not bad สำหรับสถานการณ์แบบนี้
เพราะ วรรคทอง ที่ว่า " Fear is a good news " ยังคงใช้ได้กับทองคำอยู่เสมอ โดยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักแค่ไหน
เอาใจช่วยสำหรับคนที่มีทองคำอยู่ครับ : )
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง มาแชร์แลกเปลี่ยนความรู้กันในคอมเมนต์ได้นะครับ
ถ้าชอบ กด like... กด share...และอย่าลืม กดติดตาม เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ
แล้วพบกันบทความหน้าครับ
โฆษณา