27 ก.ค. 2019 เวลา 12:59 • บันเทิง
เรื่องสั้น : ชายผู้สะสมความโดดเดี่ยว
บางคนกลับรู้สึกแสนอ้างว้าง ทั้งที่เดินอยู่ท่ามกลางมหานครซึ่งผู้คนนับล้านกำลังแข่งขันกันมีชีวิต แม้ในรถเมล์ที่คนเบียดเสียดกันแน่น แต่กลับไร้ซึ่งซุ่มเสียงทักทายใดๆ นอกจากเสียงฝากระบอกโลหะเก็บค่าโดยสารเคาะซ้ำๆ จนน่ารำคาญ
รถที่วิ่งบนถนนต่างเบียดเสียดกันเพื่อหาทางไปให้ไวที่สุด แต่ทว่ายิ่งเร่งกลับยิ่งติดแน่นหนึบบนถนนที่คดเคี้ยวไปมา เสียงบีบแตรดังระงมเมื่อบางคนเบียดบังคนอื่นอย่างเห็นแก่ตัว เสียงรอบตัวอื้ออึงแต่บางคนกลับสวมหูฟังหลับตาพริ้มทำราวกับว่าเขากำลังจมดิ่งลงในมหาสมุทรแห่งความวิเวกได้ด้วยการกระทำง่ายๆ อย่างนั้น
ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะรู้สึกสงบจริงหรือเปล่า เพราะความสงบมันไม่มีอยู่จริงหรอก แต่ความโดดเดี่ยวนั่นดาษดื่นและมากมายราวกับฝุ่นละอองในบรรยากาศในมหานครเช่นนี้
ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ ยิ่งรอบตัวเราวุ่นวายและสับสนมากเท่าไหร่ เรากลับรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวของผู้คนใกล้ตัวได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น เพียงหันไปมองผู้คนรอบตัวที่เดินผ่านไปมา ใบหน้าเฉยเมย ไร้ซึ่งรอยยิ้ม นัยตาเลื่อนลอย ยิ่งตอกย้ำความอ้างว้างของผู้คนในที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างด
นี่มันมหานครแห่งความโดดเดี่ยวจริงๆ
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า บางทีความโดดเดี่ยวที่แสนสาหัสท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวเรานี้ อาจทำให้เราเป็นบ้าเข้าสักวัน
“ทีมกู้ภัย ขอกำลังเสริมที่อุรุพงษ์ซอย 4” เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นแทรกเสียงเม็ดฝนที่กระทบกระจกหน้าดังปุปะ พวกเราเปิดไซเรนแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปราวพายุ ไม่ต้องสนใจรถทางซ้ายหรือขวา เพราะอำนาจของหลอดไฟสีน้ำเงินสลับแดงที่หมุนวนบนหลังคารถ มันเป็นพลังลึกลับที่ช่วยให้เราทะยานผ่านแยกต่างๆ อย่างไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายจราจรใดๆ อีก
เสียงไซเรนที่หวีดหวิวไปตามถนนที่เราวิ่งผ่าน กำลังปลุกผู้คนที่กำลังโดดเดี่ยวให้หันมาจับจ้องที่รถเรากันเป็นตาเดียว บ้างทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังสบถด่าอย่าที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี โชคดีที่ผมไม่เคยได้ยินมัน
“เชี่ยเอ้ย เก็บศพคนแก่อีกแล้วว่ะ ทำไมมีแต่คนแก่ตายเยอะฉิบ” ไอ้บอยบ่นอุบขณะที่มืออีกข้างจ่อวิทยุสื่อสารแนบหู ส่วนผมยังบดขี้คันเร่งอย่างไม่เกรงว่ามันจะเจ็บ
ผมหักพวงมาลัยซ้ายขวา แทรกไปตามแถวรถติดยาวเหยียดที่พยายามเบี่ยงหลบให้รถของเรา ไม่แน่ใจว่าเพราะมีน้ำใจ หรือกลัวรถเราจะเสยเข้าท้ายรถด้วยความเร็ว จึงพากับหลบให้ทางกันอย่างพร้อมเพียง
“ไอ้นนท์ มึงก็ช้าๆ หน่อยก็ได้ สัส เดี๋ยวคันหลังตามมาก็ได้เก็บศพมึงกับกูแทนหรอกมึง ขับรถเชี่ยจริงมึงเนี่ย ขากลับให้กูขับนะ” ไอ้บอยบ่นตามประสาคนขี้ปอดแหกเรื่องความเร็ว
“เออ กูช้าลงหน่อยก็ได้ กูลดให้เลยจาก 120 เหลือ 110 ใจดีไหมละมึง” ผมหัวเราะตามท้าย
“แม่งเอ้ย” บอยจับเข็มขัดนิรภัยมาสวม พร้อมหลับตาสวดมนต์พึมพำ
“นี่สวดเพราะกลัวรถชน หรือกลัวผีที่กำลังจะไปเก็บศพเนี่ย ไอ้บอย เข็มขัดนิรภัยไม่ได้กันผีนะมึง ฮาฮา” ผมพูดปนขำกับความตลกของไอ้บอยเพื่อนเกลอเพียงคนเดียวที่มี แต่รอยยิ้มที่มุมปากผมก็หายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงภาพที่กำลังจะเจอ
เพียงชั่วอึดใจ เราก็มาจอดที่หน้าอะพาร์ตเมนต์เก่าโทรมที่ลึกเข้าไปในซอย แสงไฟจากรถตำรวจหลายคันที่จอดอยู่สะท้อนกำแพงรอบๆ เข้าตา ดูน่าเวียนหัวและชวนให้ประสาทเสีย
“อ้าว มาแล้วรึ พวกเอ็งขึ้นไปเก็บเอาศพลงมาได้เลย พิสูจน์หลักฐานฯ เขาจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไร แค่คนแก่ตายเองมาหกเจ็ดวัน เพิ่งมีคนมาเจอ” คุณตำรวจพุงพลุ้ยเดินมาบอกพวกเรา พร้อมไม้เสียบลูกชิ้นทอดในมือ ปากก็เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย จนผมแอบกลืนน้ำลายด้วยความหอม
เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่ไทยมุงมารวมตัวกันในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยด้วยแม้แต่น้อย เพียงขอได้ดูขอรู้เรื่องด้วย จะรู้น้อยกว่าคนอื่นเป็นไม่ได้ ไทยมุงเหล่านี้มักดึงดูดรถขายสินค้านานาชนิดมาด้วย ทั้งผลไม้ ลูกชิ้น โรตี ปลาหมึกย่าง ขนมไทย น้ำหวานและอีกมากมายพอๆ กับที่จอดเรียงรายตามงานวัด
แต่พอศพโดนขนออกไปจากที่เกิดเหตุ เหล่าผู้คนที่เสวนากันราวกับเป็นเพื่อนกันมาสิบยี่สิบปีก่อนหน้า ก็แยกย้ายจากกันไป หาดเจอกันพรุ่งนี้ก็คงจำกันไม่ได้ ส่วนรถขายของมากมาย ก็สาปสูญอย่างรวดเร็วกระจายตัวไปตามแหล่งบันเทิงหรือตามแยกต่างๆ เพื่อดักลูกค้าที่หิวโซต่อไปเหมือนอย่างที่เคยเป็นมานับร้อยนับพันราตรี แล้วทุกอย่างก็กลับมาอ้างว้างเหมือนเดิม
ตอนนี้ผมและบอยยืนอยู่หน้าประตูไม้บานเก่าสีซีดที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย
“เหี้ย เหม็นชิบหายเลยว่ะไอ้นนท์ ไม่ใช่แค่กลิ่นศพแล้วมั้ง” บอยเอามืออุดทั้งปากและจมูกจนเสียงอู้อี้
“เอ้านี่ หน้ากาก ใส่สามชั้นแม่งเลย จะบ่นทำไมว่ะ เหม็นกว่านี้ก็เคยไหมมึง ทำบ่น” ผมหยิบหน้ากากสวมสามชั้น เพราะกลิ่นนั้นแรงเกินทนจริงๆ
ทันทีที่เปิดเข้าไปในห้องเช่าที่เกิดเหตุ ก็ต้องผงะกับขยะกองมหาศาลที่มัดใส่ถุงพลาสติกกองกันสูงท่วมหัว บางถุงมีหนอนตัวขาวอวบไต่ยั้วเยี้ยในน้ำสีน้ำตาลเข้มที่กองที่ก้นถุง แมลงสาปไต่สวนสนามกันราวกับนี้เป็นวนอุทยานแห่งชาติสำหรับพวกมันโดนเฉพาะ เศษกระป๋องเบียร์กับก้นบุหรี่นับพันกองเกลื่อนพื้น ก้าวไปทางไหนก็ต้องเหยียบโดนราวกับมีดนตรีเล่นคลอการก้าวเดินของเรา ซึ่งพอนานๆ ไปกลับน่ารำคาญเป็นที่สุด
ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งสยดสยอง ที่ในตู้ทุกใบมีแต่ขยะล้นออกมา เศษอาหารปกคลุมทุกพื้นผิวที่ถุงพลาสติกไม่บดบัง กลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นเบียร์บูดเน่าเคล้ากลิ่นเนื้อมนุษย์ที่กำลังเปื่อยยุ่ย มันช่างชวนอาเจียนยิ่งกว่ากลิ่นเน่าที่คุ้นเคยไปอีกหลายเท่า
“นั่นไงมึง นอนอืดมองมึงอยู่ตรงนั่น เชี้ย โคตรหลอน” บอยส่งเสียงดังจนผมตกใจ เพราะมัวก้มดูพื้นที่รกจนต้องระวังทุกก้าวเดิน ไม่ทันได้กวาดตามองไปรอบๆ เท่าไหร่
ทันทีที่ภาพตรงหน้าส่งตรงไปถึงสมองส่วนแปลผล ขนทั่วร่างกายผมตั้งชันราวกับนัดแนะกันไว้
รูปร่างที่บวมอืดนั่งผิงผนังอยู่มุมห้อง เห็นเพียงส่วนท่อนบนที่โผล่พ้นกองขยะขึ้นมา ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ใบหน้าบวมเป่งจนไม่คล้ายใบหน้ามนุษย์ ดวงตาเบิกโพลงและปูนโปน ที่แขนผิวหนังบางส่วนปริแตก น้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาเป็นทางตามรอยแตกของชั้นไขมันสีเหลืองขุ่น
“เชี่ยเอ้ย มองกูด้วย” บอยสบถ
“มึงเงียบเลย จะร้องทำเหี้ยไร ใจเย็นๆ ก็เหมือนศพอื่นนั่นล่ะ จะร้องอะไรนักหนาว่ะ กูเริ่มรำคาญแล้วนะมึง” ผมขึ้นเสียง เพียงเพื่อข่มความกลัวในจิตใจหรือเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ รู้แต่เพียงตอนนี้ใจผมเต้นรัว คล้ายมันจะออกมาเด้งอยู่บนหน้าอก เป็นความกลัวหรือลิงโลดกันแน่ที่ผมรู้สึกในตอนนี้
เราสองคนฝ่าดงขยะเข้าไปจนถึงร่างนั้น กลิ่นยิ่งรุนแรงจนเกินจะต้านทาน ไอ้บอยผงะแล้วหันไปอาเจียนกองใหญ่ที่กำแพงอีกด้าน ซึ่งนั่นก็คงไม่ได้ทำให้ห้องนี้สกปรกไปมากกว่าเดิมเท่าไหร่ ผมได้แต่ค่อยสูดลมหายใจช้าๆ พยายามควบคุมสติและอาการจุกแน่นที่ลำคอ เพื่อป้องกันของเหลวที่ตอนนี้ดันมาจนถึงลิ้นปี่ไม่ให้ทะลักออกมาเสียก่อน
“อโหสินะลุง ไปที่ชอบๆ ผมไม่ได้ลบหลู่นะ ผมมาช่วย” ผมยกมือที่สั่นเทิ้มขึ้นไหว้พอเป็นพิธี ไอ้บอยหลังจากเช็ดปากที่เลอะก็สวมหน้ากากอีกรอบ แล้วรีบช่วยกันคลี่ผ้าดิบผืนใหญ่ออก เราเริ่มจากค่อยๆ ขยับร่างที่แข็งเกร็งออกจากกำแพงด้านหลังเพื่อเตรียมห่อ น้ำเหลืองน้ำหนองยังเหนียวเยิ้มติดกำแพงด้านหลังเป็นรอยคล้ายแผ่นป้ายหลุมศพ ช่างเหมาะเจาะเสียจริง
เศษขยะและกระป๋องเบียร์มากมายถูกเขี่ยออกไปรอบๆ เพื่อให้มีพื้นที่จัดการศพให้ง่ายขึ้น ตอนนี้เราสองคนต้องรีบจัดการ เพื่อรอเพื่อนอีกกลุ่มที่จะมาช่วยจัดการขนย้ายออกไปก่อนที่นักข่าวจะมากันมากกว่านี้ ซึ่งนั่นจะทำให้ผมทำงานได้ลำบากมากยิ่งขึ้น
ระหว่างที่บอยนั่งบริกรรมคาถาที่มันเคยเล่าให้ฟังว่าเรียนมาจากสัปเหร่อ ทำนองว่าเป็นการขอขมาศพ ผมก็มองสภาพขยะที่กองอยู่รอบๆ น้ำเหลืองเหนียวไหลนองตามพื้น จนพื้นรองเท้าที่เหยียบมีของเหลวเหนียวหนืดติดพื้นขึ้นมา มันน่าสยองทีเดียวที่เห็นภาพในตอนนี้ ผมคงต้องทำความสะอาดรองเท้าครั้งใหญ่เลยทีเดียว
“เสร็จยังวะไอ้บอย กูอยากออกไปรอข้างนอกแล้ว ขอสูดหายใจดีๆ หน่อยเถอะ จะสลบแล้วมึง” ผมเร่ง
“เออๆ มึงออกไปตามพวกข้างล่างมาเลย จะได้มาช่วยกันขน” ไอ้บอยพนมมือยกสูงท่วมหัวก่อนเอ่ยปาก
“เอ่อ มึงรีบออกมาละกัน เดี๋ยวได้เป็นลมตายในนี้อีกคนละมึง กูจะเหนื่อยขึ้นอีก ขนาดมึงยังไม่ตายยังอืดขนาดนี้” ผมลุกขึ้นพรวดหลังจากทำสิ่งที่ต้องทำเรียบร้อยแล้ว
“ปากนี่เหี้ยตลอดนะมึงเนี่ย” บอยหันมาด่าทิ้งท้าย
หลังห่อผ้าดิบถูกขนขึ้นหลังรถอีกคันที่มารอรับ ผมและบอยก็พากันขึ้นรถกลับที่พัก มันอาสาขับเอง ส่วนผมยินดีมาก เพราะขอนั่งสบายๆ ดีกว่าหลังเจอเรื่องหนักๆ อย่างคืนวันนี้
“น่าสงสารลุงว่ะ แม่งตายอนาถ อืดขนาดนี้ยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครถามหาเลยเหรอวะ” บอยพูดแทรกความเงียบขึ้นขณะรถติดไฟแดง
“อืมม มึงไม่เข้าใจหรอก บางทีคนเราก็ชอบอยู่คนเดียว มันก็สบายใจดี แต่บางคนก็เกลียดการอยู่ลำพัง ความโดดเดี่ยวบางทีมันก็โหดร้ายเกินทนนะมึง” ผมรำพึงขณะมองรถเข็นขายบะหมี่ข้างทางที่เริ่มเก็บของเตรียมตัวกลับ
“กูไม่ได้จะตอกย้ำมึง กูขอโทษว่ะ แค่นึกสงสารคนที่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ สมัยนี้แม่งเยอะด้วย มึงก็เห็นเหมือนกูนี่”
“เออ ช่างมันเหอะ กูไม่ถือมึงหรอก รีบขับเหอะ กูอยากนอนละ เหนื่อยสัส ต้องไปซักรองเท้าอีก เหม็นฉิบ” ผมพยายามขยับเท้าให้น้อยที่สุด เพราะทุกครั้งที่ขยับ กลิ่นสาปที่ชวนอาเจียนก็ลอยขึ้นมาจากที่วางเท้าด้านางตลอดทุกครั้งไป
“แล้วมึงโอเคใช่ไหม ที่ก้อยทิ้งมึงไปเกือบเดือนแล้วเนี่ย มีไรว่ะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้าง”
“เสือกน่าไอ้บอย พอๆ กูขี้เกียจเล่า มึงจบนะ” ผมสะบัดหางเสียงดังเพื่อให้รู้ว่าเคืองแล้ว
“เออ อยากแดกเหล้าวันไหนบอกกู รอวันที่เราไม่มีเวรนะมึง เดี๋ยวมึงเมาก็เล่าเป็นร้อยรอบจนกูเบื่อนั่นล่ะ” บอยยังหัวเราะได้ตลอดเวลาเหมือนเคยแม้ในเวลาที่ไม่เห็นว่าจะน่าขันตรงไหน
ช่างเถอะ ผมไม่อย่างเถียงให้เหนื่อยแล้ว ตอนนี้แค่อยากกลับบ้านไวๆ แล้วอาจจะหาอะไรร้องท้องนิดหน่อยก่อนนอน เพราะวันนี้หนักทีเดียวสำหรับผม
ผมถอดรองเท้าแช่ในกะละมังพร้อมสาดน้ำย่าฆ่าเชื้อใส่อย่างไม่ยั้ง ถอดเสื้อผ้าที่กลิ่นศพฝังเข้าไปในใยผ้าจนแน่น แยกแล้วแช่ไว้ในกะละมังอีกใบ ผมล้วงเอาของในกระเป๋าออกวางไว้ที่หน้ากระจก มีเสียงกรอบแกร๊บดังขึ้น
ผมหยิบซองพลาสติกที่เป็นสาเหตุออกมา มันเป็นห่อซองบุหรี่ที่มีบุหรี่เหลืออยู่สองมวน มันทำให้นึกถึงภาพสมัยเพื่อนที่บ้านเด็กกำพร้าแอบชวนให้ลองสูบครั้งแรกได้ดี ผมสำลักควันเกือบตาย แต่แค่สองสามครั้งหลังจากนั้นก็ติดจนแทบไม่ว่างจากปาก การไร้การดูแลที่ดีพอนั้นง่ายดายเหลือเกินสำหรับวัยรุ่นที่จะทดลองมันทุกอย่าง ที่คิดว่าทำแล้วเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในทันที แต่ตอนนี้ผมเลิกไปได้เกือบปีแล้ว เพราะได้ยินว่าบุหรี่ไม่ดีต่อคนที่อยู่ใกล้ชิด
แน่นอนว่ามันไม่ใช่บุหรี่ของผมหรอก บุหรี่สองตัวในซองชุ่มโชกด้วยน้ำเหลืองและของเหลวจากศพที่เหนียวข้น กลิ่นสาปแรงฉุนพุ่งมาแตะจมูกอีกครั้ง ผมเดินถือซองบุหรี่กลับเข้าห้องนอน ดึงลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกล่องพลาสติกใสที่อยู่ด้านในออกมา
ในกล่องมีเศษผ้าอ้อมไหม้เกรียมชิ้นเล็กๆ มีเชือกไนลอนเส้นสั้นๆ ที่มีคราบสีดำเกรอะกรังวางข้างกัน ผมหยิบเอาซองบุหรี่ที่เก็บได้ข้างศพของลุงที่เพิ่งเจอก่อนหน้าวางลงไปรวมกัน พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
ใครจะเข้าใจความโดดเดี่ยวของคนเมือง ที่รายล้อมด้วยผู้คนนับล้าน แต่ตัวเรากลับรู้สึกไร้ตัวตน ไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้อง มีแค่เพื่อนที่พอคบได้แต่ก็เพียงผิวเผิน ไม่มีอะไรจะทดแทนครอบครัวที่อบอุ่นได้หรอก ความจริงอันนี้ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เอง
ในตอนที่ตัดสินใจเอาเศษเชือกที่ป้านิรนามใช้แขวนคอตายเพียงลำพังในกระท่อมที่ใกล้พังข้างสลัมริมคลอง เอากลับมาไว้ที่บ้าน จำได้ว่าป้าทิ้งจดหมายลาตายไว้ด้วยที่ข้างรูปครอบครัวเก่าๆ ที่วางไว้บนพื้นข้างศพ
“คิดถึงลูกทุกคน ไม่ต้องกลัวแม่เป็นภาระแล้วนะลูกเอ้ย รักลูกมาก” ข้อความทิ้งท้ายด้วยลายมือโย้เย้บนกระดาษเศษที่ยู่ยี่
ส่วนเศษผ้าไหม้ไฟ ได้จากศพทารกที่ถูกแม่ใจยักษ์เผาทิ้งไว้ในป่าข้างทาง ศพไหม้แค่บางส่วนเพราะเผาไม่หมด เพราะฝนเทลงมาก่อน จึงส่งกลิ่นคลุ้งจนมีคนไปเจอ เจ้าทารกน้อยที่ไม่มีใครต้องการแม้กระทั่งคนที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นขึ้นมา
ถึงตอนนี้ก็น่าจะพอเป็นรูปเป็นร่างแล้วสำหรับครอบครัวของผม
ผมเปิดประตูออกไปที่ห้องกินข้าว หญิงร่างบวมอืดตาปูนโปนลิ้นจุกปากกำลังอุ้มเด็กน้อยที่ตัวดำเกรียมครึ่งตัว สีผิวที่ไหม้ดำตัดกับผ้าห่อสีขาวที่โพลนพันห่อไว้แน่นหนา ร่างของลุงมที่ผมเพิ่งเก็บศพก็นั่งจังก้าอยู่ฝั่งตรงข้าม แกเคี้ยวปากคล้ายอยากกินอะไรบางอย่าง
“บ้านนี้ไม่ให้สูบบุหรี่นะครับลุง ต่อไปนี้ลุงเป็นพ่อของครอบครัวเราแล้วนะ ส่วนเหล้า เดี๋ยวผมจุดธูปให้ แต่อย่าเมาอาละวาดละกัน ไม่งั้นผมเอาเรื่องแน่” ผมทรุดตัวลงนั่งหัวโต๊ะ
“เอาละ ทานข้าวกันพร้อมหน้าแล้วนะครับวันนี้ มาๆ กินข้าวครับ” ผมจุดธูป 1 ดอกเสียบที่จานข้าวตรงหน้า มีขวดใส่นมใบเล็กด้วยวางอยู่ข้างกัน
“แม่คิดว่า ผมควรมีน้องชายหรือน้องสาววัยกำลังโตอีกซักคนจะดีไหม บ้านเราจะได้คึกคักขึ้นอีกหน่อย” ผมตักข้าวเข้าปาก
ร่างหญิงบวมอืดตรงหน้าผยักหน้าหงึกหงัก อาจเพราะคอแกหักแถมลิ้นจุกปาก อาจไม่สะดวกที่จะส่งเสียงเท่าไหร่ แต่ท่าทีดังกล่าวแสดงว่ามันจะต้องดีแน่นอน สำหรับการเพิ่มสมาชิกใหม่ในบ้านเราอีกสักคน
“แล้วเรื่องแฟน ผมไม่มีก็ได้ แต่แม่ไม่ต้องโผล่มาให้ใครเห็นอีกนะ เดี๋ยวห้องข้างๆ เขาจะโวยวายอีก แค่ก้อยเจอแม่ในห้องน้ำจนเปิดแน่บ ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว” ผมตักแกงใส่จานข้าวเพิ่ม
ร่างหญิงชรานั่งนิ่ง ไม่ไหวติง
“เอาน่า ผมไม่บ่นแล้ว เดี๋ยวถ้าน้องใหม่มาอีกคน ต่อไปทุกคนจะไม่โดดเดี่ยวแล้วนะครับ มากินข้าวๆ วันนี้ฉลองที่เรามีพ่อมาร่วมครอบครัวเรากันครับ” ผมยิ้มแก้มปริด้วยความยินดีที่ได้มีครอบครัวอย่างที่ใครๆ เขามีบ้างเสียที วันนี้ผมมีความสุขจริงๆ
พาไปสำรวจครอบครัวใหม่ในเมืองใหญ่ของมหานครแห่งความโดดเดี่ยว by เพจเรื่องสั้นๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา