29 ก.ค. 2019 เวลา 12:59 • บันเทิง
เรื่องสั้น : คำโบราณท่านว่า
คนโบราณมักมีคำสอนแปลกๆให้เด็กๆทั้งหลายได้จดจำทำตาม บ้างก็มีเหตุมีผลดี บ้างก็ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่ด้วยความที่เป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา ก็ยากนักที่เราจะบ่ายเบี่ยงหรือไม่ทำตามที่ถูกสั่งถูกสอนมาอย่างนั้น
"บอย" เด็กชายวัยสิบสองย่างสิบสาม เขาเกิดในครอบครัวช่างก่อสร้าง ซึ่งตั้งแต่เกิดจนโตมาขนาดนี้ บอยเปลี่ยนที่อยู่บ่อยเสียยิ่งกว่าเป็นหวัดเสียด้วยซ้ำไป เพราะที่ไหนมีงานก่อสร้างมีไซท์คนงาน ที่นั่นจะเป็นบ้านใหม่ของบอยทันที
แน่นอนว่าบอยไม่ต้องเรียนหนังสือ เพราะเรียนไปเดี๋ยวก็ต้องย้ายออกอยู่ดี พ่อกับแม่จึงให้บอยเรียนตามอัธยาศัย คือ เรียนกับทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ อาศัยว่าพ่อของบอยจบประถมหก จึงพอสอนให้บอยอ่านออกเขียนได้บ้าง พอเอาตัวรอดได้ ในกรณีที่ต้องเขียนชื่อตัวเอง นอกนั้นได้แค่นับหนึ่งถึงสิบ กับอ่านจำได้เป็นคำๆ
เพราะเปลี่ยนที่อยู่เรื่อยๆ บอยจึงมีเพื่อนใหม่เกือบทุกไตรมาส เพราะย้ายบ้านแต่ละที ก็ได้เปลี่ยนเพื่อนใหม่ไปด้วยในตัว ดูสนุกดีไปอีกแบบ โตไปอีกหน่อยบอยคงเป็นผู้กว้างขวางมีเพื่อนมากมาย หวังเพียงแค่เด็กๆเหล่านั้นยังจะจำกันได้ในอนาคต คงเพราะนิสัยใจกล้าไม่กลัวอะไร เป็นผู้นำแต่กำเนิด บอยจึงเป็นหัวโจกในหมู่เด็กๆลูกหลานชาวก่อสร้างตัวจริง
"บอย เล่นอะไรดีว่ะวันนี้ กูอยากเล่นเบสบอลว่ะ" เปี๊ยก เด็กชายตัวผอมเกร็ง ลูกชายช่างเหล็กที่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยในไซท์ได้เพียงสี่วัน แต่ทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นๆ ราวโตมาด้วยกันเลยทีเดียว เปี๊ยกพูดขึ้นเสียงดังกลางวงล้อมของเด็กๆ ลูกช่างทั้งหลายที่ล้อมวงกันอยู่ตรงลานกว้างหน้าไซท์คนงาน
"แต่จอยอยากเล่นซ่อนหานี่ เล่นเบสบอลโดนขว้างลูกใส่ เจ็บจะตาย" จอย เด็กสาววัยสิบขวบลูกป้าส้มช่างฉาบปูนกล่าว
"บ้าเหรออีจอย นี่มันจะหกโมงแล้ว เล่นซ่อนหา เดี๋ยวผีก็เอามึงไปซ่อนหรอก" เปี๊ยก รีบพูดแทรกขึ้นทันที
"เอาอีกแล้วไอ้เปี๊ยก! ผีอีกแล้ว ตั้งแต่มึงมาเล่นด้วย กูจะเจอผีเป็นสิบอย่างแล้ว นี่ก็ผีเอาไปซ่อนอีกละ" บอยเอามือผลักอกเปี๊ยกออกไปเบาๆ พร้อมทำหน้าเซงสุดขีด
"อ้าว มึงไม่เชื่อเหรอ พ่อกูบอกแบบนี้จริงๆ มีเด็กโดนเอาไปซ่อนหลายคนแล้ว ผีมันชอบ" เปี๊ยกกำหมัดแน่น ตะเบ็งเสียงจนเอ็นคอขึ้น
"พ่อมึงก็หลอกมึงไง ความจริงมันเป็นแก๊งค์ขโมยเด็กไปขอทานโว้ย ที่มันมาคอยมาขโมยเอาไปตัดแขนตัดขา เอาไปขอทานตามสะพานลอย อย่างมึงนี่ดำๆ ผอมๆ นี่ พวกนี้โคตรชอบเลย เวลาไปขอทานแล้วมันน่าสงสารดี" บอยดึงคอเสื้อยืดเปี้ยกเอามาใกล้ตัวจนเสื้อคอยืดยาวออกมา
"แล้วอย่าให้กูได้ยินว่า "ผี" จากปากมึงอีกนะไอ้เปี๊ยก ไม่งั้นไม่ต้องมาเล่นกับพวกกูเลย" บอยปล่อยมือออก แต่เสื้อยืดของเปี๊ยกตอนนี้คอย้วยมาถึงอกเสียแล้ว
เปี๊ยกก้มหน้าก้มตาเดินตามทุกคนไปอย่างเสียไม่ได้ เพื่อไปเล่นซ่อนหากันตรงข้างบ้านพักซึ่งเป็นที่จอดรถบรรทุกดินอยู่หลายคัน เด็กๆเล่นกันสนุกสนานรวมถึงเปี้ยกด้วย ซึ่งเย็นนั้นก็ไม่มีใครถูกผีเอาไปซ่อนแต่อย่างใด
"บอย! เอ็งอย่าร้องเพลงตอนกินข้าวสิ เดี๋ยวได้เมียแก่นะ" แม่ดุบอยกลางวงข้าว
"แม่โกหก พ่อเคยบอกว่ามันจะสำลักข้าวต่างหาก แม่อย่าหลอกให้ยากเลย บอยไม่เชื่อแล้ว" บอยยังฮัมเพลงต่อไม่เลิก
"เอ่อ ไอ้บอยคนฉลาด พ่อเอ็งก็สอนมาดี วันหลังสอนมันท่อง ABC บ้างนะพ่อนะ แม่จะรอดู" แม่เคาะช้อนกับจานข้าวเสียงดังแก้เก้อ ส่วนพ่อเอามือลูบหัวบอย พลางหัวเราะหึๆ ในลำคอ เพราะดีใจที่ลูกชายคนเดียวฉลาดและความจำดี เคยสอนเคยบอกแค่ครั้งเดียวก็จำได้แล้ว
บอยมักโดนแม่สอนสั่งด้วยคำโบราณแปลกๆ ซึ่งมันก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย บอยจึงมักถามพ่อถึงสิ่งที่แม่สั่งกำชับนักหนา เช่น
"อย่าตัดเล็บตอนกลางคืนอายุจะสั้น"
"อย่าเก็บของแตกของหักไว้ในบ้าน จะโชคร้าย"
"อย่าถือมีดของมีคมเล่นแหย่กัน ผีจะผลัก"
"อย่าออกไปนอกบ้าน หรือทำเสียงดังเวลามีลมพายุฟ้าคะนอง ฟ้าจะผ่าใส่" เป็นต้น
ซึ่งคำสอนพวกนี้แม่มักอ้างว่าคนโบราณเขาว่ากันมา ต้องเชื่อต้องทำตาม แต่บอยกลับไม่ยอมเชื่อแม่ง่ายๆ จำคำเหล่านี้ไปถามพ่อเสมอ ซึ่งพ่อจะอธิบายให้บอยฟังอย่างละเอียด ถึงเหตุผลและที่ไปที่มาของคำสอนเหล่านั้น ซึ่งล้วนมีเหตุมีผลและเข้าใจได้ไม่ยาก
"แล้วจะสอนให้ดูงมงายทำไม่ก็ไม่รู้"
บอยนึกในใจตอนถูสบู่ หลังจากพ่ออธิบายในระหว่างการอาบน้ำที่ตุ่มน้ำหลังห้องพัก เรื่องการห้ามนั่งเล่นบนหัวบันได เป็นเรื่องของอันตรายที่อาจเกิดจากการผลัดตกจากราวบันไดต่างหาก ไม่ใช่การนั่งค้ำคอพ่อแม่แล้วไม่ดีอย่างที่แม่เคยบอกไว้เลย
ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกกล่าว ก็ดูมีเหตุมีผลดี ไม่เห็นต้องบอกกล่าวให้อ้อมค้อม ก็สู้บอกตรงๆ ไปเลยว่า ดี ไม่ดี อันตรายอย่างไร หรือทำไม่ได้เพราะอะไร ยังดูดีกว่าการแต่งเรื่องหลอกลวงตลกๆมาให้เชื่อกันแบบงมงายแบบนี้ บอยนอนคิดก่อนจะหลับไปในคืนนั้น
เช้าวันต่อมา เหล่าสมาชิกเด็กน้อยแห่งไซท์ก่อสร้าง ก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างอีกครั้ง หลังจากที่ผู้ใหญ่ออกไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือไว้แค่แม่บ้านของบางครอบครัว ที่มีหน้าที่ดูแลเด็กเล็กกับเตรียมข้าวปลาอาหารไปส่งที่เขตก่อสร้าง ซึ่งบางทีก็แอบงีบหลับไปบ้าง ปล่อยให้้เด็กๆเล่นกันอยู่ใกล้ๆ
เหล่าเด็กๆ ก็ชักชวนกันออกมาและล้อมวงเพื่อตกลงหาการละเล่นใหม่ๆ ในวันนี้กัน หลังจากที่มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็เริ่มออกความเห็นกันทันที
"เล่นรีรีข้าวสารมั้ยพี่บอย" เจี๊ยบน้องเล็กสุดของกลุ่มกล่าว
"เบื่อว่ะ ไม่สนุก เล่นเบสบอลเหอะ" ไอ้เปี๊ยกแทรกขึ้น
"เล่นพ่อแม่ลูกเหอะ ออยอยากเล่น" ออยเด็กสาวผมเปียหนัก 50 กิโลกรัม ในวัยเก้าขวบกล่าว
" พอๆ วันนี้เราจะเล่นลุยป่าดงดิบกัน เราจะลุยเข้าไปในป่าที่ถัดไปอีกสองซอยกัน" บอยเสียงดังเพื่อรวบรัดเวลาและกลบเสียงเด็กๆที่กำลังถกเถียงเรื่องจะเล่นอะไรดีกันแน่
"บอยจะไปป่าที่ซอยหกเหรอ แม่เราห้ามไม่ให้ไปนะ เราไม่เล่นด้วยหรอก" บิ๊กเด็กโข่งของกลุ่ม อายุสิบหกแต่เคยชักตอนอายุเก้าเดือน ชักอยู่นานหลายครั้ง เลยดูบิ๊กไม่ค่อยเฉลียวฉลาดเท่าไหร่นัก บอยได้ยินเรื่องนี้จากแม่ตนเองที่สนิทสนมกับแม่ของบิ๊กเป็นอย่างดี
1
" จะให้พ่อกับแม่มึงรู้ทำไมเล่า ไอ้บิ๊ก ไอ้บื้อ เอ้ย!" บอยเอามือฟาดไปที่แผ่นหลังของบิ๊กเต็มแรง จนบิ๊กเกือบล้มหน้าคว่ำ น้ำตาเอ่อจากตาที่เริ่มแดงทั้งสองข้างในทันทีจากความเจ็บปวด
เด็กๆ จึงต้องตามกันเป็นขบวนเพื่อไปเล่นที่ซอยหกแทน
เด็กๆ นับสิบคนเดินต่อท้ายกันเป็นแถว นำหน้าโดย เด็กชายบอย ผู้ไม่เคยกลัวอะไร ทั้งหมดเดินออกไปไกลจากไซท์ที่พัก ลัดเลาะเข้าซอยวกวน แล้วเดินลึกไปในซอยตันอีกราวแปดร้อยเมตร แล้วทุกคนก็มาหยุดที่ป้ายไม้ขนาดใหญ่แขวนไว้กับรั้วขึงลวดหนาม ที่บางเส้นหย่อนจนเป็นช่องกว้าง กว้างพอที่เด็กๆ จะมุดลอดเข้าไปได้สบายๆ
[พื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามบุกรุก ระวังอันตราย!!]
ป้ายไม้เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่ ผุผังใกล้จะหล่นลงมาจากลวดหนามเต็มที
"แน่ใจเหรอพี่บอย แม่สั่งว่าอย่ามาเล่นที่นี่เด็ดขาดเลย มีผีเด็กตายที่นี่ด้วย" ออยพูดขึ้นก่อนจะอ้อมไปยืนหลังเปี้ยก
"ออย หุบปากเลย ผีอีกละ เดี๋ยวไล่กลับบ้านเลย" บอยขมวดคิ้ว
"ใช่ๆ พี่บอย พ่อผมก็สั่งว่าอย่ามาเล่นที่นี่ เคยมีคนเจอศพคนด้วย" บิ๊กมองเข้าไปในป่าละเมาะ ด้วยสายตาหวาดหวั่น
1
"แล้วแต่นะ พวกตาชาว ใครจะกลับก็ไปเลยไป๊"
"เบื่อพวกขี้ขลาดว่ะ" บอยพึมพำแต่ลดเสียงเบาลง คงเพราะเกรงว่าเหล่าลิ่วล้อจะเคืองเอาด้วย
เด็กบางคนเดินจับกลุ่มกันกลับ เหลือเพียงเปี๊ยก บิ๊ก และบอย สามคนเท่านั้นเอง คนที่กลับไปล้วนให้เหตุผลว่าพ่อแม่ห้าม โดยเหตุผลต่างๆ นาๆ ทั้งเคยมีเด็กตายในป่าละเมาะบ้าง มีคนเคยฆ่ากันตายเอาศพมาทิ้งบ้าง มีงูหรือสัตว์มีพิษบ้าง ซึ่งเรื่องงูหรือสัตว์อันตรายดูจะน่าสมเหตุผลมากกว่า บอยจึงตั้งใจจะเข้าไปสำรวจดูอย่างไม่ประมาท
บอยมุดลอดรั้วลวดหนามเข้าไป ส่วนเปี๊ยกตามมาติดๆ ทิ้งให้บิ๊กรั้งท้ายเพราะตัวค่อนข้างโตสมชื่อ จึงมุดเข้ามาอย่างทุลักทุเล บอยเดินดิ่งเข้าไป เอากิ่งไม้ขนาดเหมาะมือฟาดหญ้าให้แหวกออกเป็นทางช้าๆ เพื่อให้สัตว์ร้ายอย่างพวกงูตกใจเลื้อยหนีไปก่อน พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องดังจากด้านหลัง
"โอ๊ย เจ็บ! โอ๊ยๆ พี่บอย ไอ้เปี๊ยกช่วยด้วย เลือดออก ฮือๆๆ" เสียงบิ๊กร้องลั่นตามด้วยเสียงสะอื้นไห้
บอยและเปี๊ยกวิ่งกลับมาดู เห็นบิ๊กนอนกลิ้งไปมาบนพงหญ้า ที่ขามีลอยเลือดไหลนอง เห็นเป็นรอยฉีกออกเป็นทางยาว มีไขมันใต้ผิวหนังปลิ้นย้อยออกมาจากปากแผล บิ๊กคงโดนหลวดหนามเกี่ยวเข้าตอนมุดเข้ามา เด็กทั้งสองพากันเข้าไปพยุงบิ๊กขึ้น แล้วช่วยกันพาบิ๊กมุดกลับออกมาด้านนอกอีกครั้งอย่างเก้ๆ กังๆ เหงื่อไหลจากหน้าผากบอยเป็นทางยาว เพราะเครียดที่เห็นเพื่อนเจ็บและรู้ว่าความซวยกำลังจะมาเยือนแล้ว
ป๊าบ..ป๊าบ..ป๊าบ..
เสียงไม้ไผ่ยาวเมตรครึ่งวิ่งผ่านอากาศมาหยุดลงที่ก้นของบอยๆ แม่ยืนหน้าเครียดอยู่ข้างๆ ติดๆ กันมีแม่ของบิ๊กที่ยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านหลัง
1
"นี่รู้มั้ยว่าน้าต้องเสียค่าหมอเกือบพัน ค่ายา ค่าอะไรไม่รู้สาระพัด นี่ยังต้องพามันไปฉีดยาบาดทะยักอีก ล้างแผลอีกทุกวัน โอ้ยตายๆ จะเอาอะไรกินกันหล่ะเดือนนี้" แม่ของบิ๊กเบ้ปากทำหน้าเซงสุดขีด ส่วนแม่ของบอยได้แต่ขอโทษขอโพยและรับปากจะอบรมลูกให้ดีกว่านี้ แม่ของบิ๊กยืนดูบอยถูกฟาดอยู่พักใหญ่จึงขอตัวกลับบ้าน พร้อมบ่นเป็นหมีกินผึ้งระหว่างทางกลับบ้านซึ่งห่างออกไปแค่สิบเมตร
"เอ็งมันดื้อ! พ่อเคยบอกว่ายังไง ห๊า บอย!" เสียงไม้เรียดหวดก้นยังดังไม่หยุด พ่อฟาดไปบ่นไป แต่ถ้ามีใครสังเกตุจะพอเห็นน้ำตาที่เอ่อขึ้นที่ตาทั้งสอง เพราะความเจ็บปวดในหัวใจที่พ่อต้องทำให้ลูกเจ็บปวดก็ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย มันอาจจะเจ็บปวดในใจของพ่อแม่เสียยิ่งกว่ารอยแดงที่ก้นลูกด้วยซ้ำไป
"พ่อสั่งนักสั่งหนา ว่าอย่าไปที่ป่าละเมาะนั่น จำได้มั้ย" ..ป๊าบ.."จำได้มั้ยห๊า"..ป๊าบ..
เสียงดุด่าสลับเสียงเนื้อที่กำลังเริ่มปริแตกดังผสมปนแปกันไปหมด ส่วนแม่ของบอยได้แต่ไปนอนร้องไห้ที่ในมุ้ง เอาผ้าห่มปิดปากไว้จะได้ไม่มีใครได้ยินเสียง
ส่วนบอยยืนกอดอกแน่น น้ำตาไหลนองหน้า ตาแดงก่ำ ร้องไห้สะอึกสะอื้นสลับเสียงสูดน้ำมูกปื๊ดใหญ่เป็นระยะ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากเด็กชายเลยแม้แต่คำเดียว
"บอกแล้วว่ามันอันตราย ไม่กลัวเหรอเคยมีคนตายนะ เกิดผีตายโหงมันจะเอ็งไปอยู่ด้วย จะให้พ่อแม่ทำยังไง ไอ้บอย ตอบพ่อสิ พูดสิ!" พ่อฟาดครั้งสุดท้ายอย่างสุดแรง เสียงไม้เรียวหล่นลงพื้นดังกึก พ่อนั่งหอบหายใจจนตัวโยน น้ำตาหยดลงมาอาบแก้ม
บอยยังยืนกอดอกร้องไห้ไม่หยุด มีเลือดไหลเป็นทางออกมาเป็นทางยาวจากกางเกงบอลขาสั้นที่สวมอยู่ เขายังกัดฟันแน่นจนรู้สึกปวดกรามหนึบๆ แต่ยังยืนนิ่งไม่ขยับตัวใดๆ เพราะความคิดในใจตอนนี้ ทั้งโกรธไอ้บิ๊กที่สร้างความวุ่นวายให้ ทั้งเสียใจที่ทำให้พ่อแม่ต้องอับอายให้คนอื่นมาว่าได้ว่าไม่อบรมลูกให้ดี ทั้งเจ็บปวดที่แผลที่โดนตี แต่ที่หนักที่สุดคือเจ็บใจที่พ่อซึ่งเคยเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดกลับเป็นคนไร้เหตุผลเสียเองกับคำพูดก่อนหน้า
"เอ็งไม่กลัวเหรอ ผีตายโหงน่ะ มันจะหาคนไปเป็นตัวตายตัวแทน มันจะเอาไปอยู่แทนมัน รู้หรือเปล่าไอ้บอย ไอ้เด็กดื้อ!" คำที่พ่อพร่ำบ่นออกมาระหว่าการหวดไม้เรียวก่อนหน้า
คืนนั้นแม่นั่งทายาให้บอยจนเขาหม่อยหลับไป ส่วนพ่อออกไปสูบบุรี่นั่งนิ่งอยู่นอกห้อง แม่เห็นบอยหลับแล้วจึงเดินออกมาคุยด้วย
"พ่อ คราวหน้าก็ค่อยๆ สอนลูกเหอะ มันก็ดื้อซนของมันแบบนี้ พ่ออย่าไปโกรธมันเลย มันก็ยังเด็กอยู่นะ" แม่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
"พ่อก็รู้ แต่ถ้าไม่ตีมันจะไม่จำ มันฉลาดนะเจ้าบอย แต่มันก็รั้น ก็เพราะฉลาดมากรู้มากนี่หล่ะ..ที่พ่อกลัว แถมคราวนี้พาลูกคนอื่นไปเจ็บด้วย ดีแค่ไหนที่เขาไม่เอาเรื่องมากกว่านี้" พลางสูดควันบุหรี่เข้าปอดอีกเฮือกใหญ่
"พรุ่งนี้แม่เอาเงินเก็บที่ใต้ฟูกไปช่วยแม่เจ้าบิ๊กมันซักสองพันนะ เกรงใจเขา พอมีอยู่ใช่มั้ยแม่" ทั้งสองมองหน้ากัน
"จ๊ะ เหลือซักสี่พันนี่หล่ะ เดือนนี้ก็ประหยัดเอาแล้วกันนะพ่อ"
พ่อของบอยนั่งเหม่อมองไปในความมืด อัดควันพิษเข้าปอดอีกเป็นเฮือกสุดท้าย ก่อนจะเขี่ยทิ้งก้นบุหรี่ลงที่แอ่งน้ำเสียเบื้องล่างใต้ห้องพักชั่วคราวที่อาศัยหลับนอน
บอยนอนซมเพราะพิษไข้จากแผลที่ก้นอยู่สองสามวัน จึงเริ่มพอมีแรงออกมาเดินเล่นรอบไซท์คนงานได้แล้ว เจ้าบิ๊กรีบเข้ามาพยุงตัวบอยที่เดินเข้ามาใกล้ทั้งๆ ที่ขาของบิ๊กก็ยังเดินกระเผลกอยู่เหมือนกัน บอยสลัดแขนบิ๊กออก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"บิ๊กมึงไม่ต้องมาช่วย มึงก็เจ็บ กูขอโทษที่ชวนพวกมึงไปที่ป่า ทำให้วุ่นวายกันหมด ต่อไปนี้พวกมึงก็เล่นกันไปเถอะ กูจะไม่เล่นด้วยแล้ว มันน่าเบื่อ กูไม่เล่นแบบเด็กๆ แล้ว พวกมึงก็ดูแลกันด้วย เล่นอะไรก็ระวังๆกันหน่อย"
พูดจบบอยก็เดินกลับเข้าบ้าน ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผาก ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย พลางได้ยินเสียงเหล่าเด็กๆ คนอื่นส่งเสียงร้องหัวเราะกันสนุกสนาน เล่นกันทั้งกระโดดหนังยาง เตยสี รีรีข้าวสาร ไปจนเล่นพ่อแม่ลูก และจบด้วยการทะเลาะกันเพราะไม่มีใครยอมเป็นแม่กันซักคน สรุปเจ้าบิ๊กโข่งก็ต้องยอมเพื่อนๆ เล่นบทแม่อีกจนได้
บอยนอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา คำโกหกคำโตที่พ่อยัดใส่ในสมองของเขา มันเป็นความย้อนแย้งที่ขัดใจเด็กชายจอมรั้นแบบบอยยิ่งนัก พ่อมักสอนให้เขาเชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ หรือมีเหตุมีผลไม่งมงายกับสิ่งไร้สาระ แต่ตอนนี้พ่อกลับมดเท็จเขาเสียเอง บอยถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ จะว่าไปเขาก็แทบไม่ได้คุยกับพ่ออีกซักเท่าไหร่หลังจากโดนตีวันนั้น ถามคำก็ตอบคำ ในห้องพักแคบของครอบครัวบอย มันเงียบกริบมาซักพักแล้ว สถานการณ์ดูเลวร้ายเพราะแม้กระทั่งในวงข้าวยังได้ยินแต่เสียงช้อนกระทบจานสังกะสีเท่านั้นเอง
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วหลังจากที่บอยโดนทำโทษ แผลต่างๆก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ที่ก้นเหลือเพียงรอยแผลเป็นนูนเป็นรอยยาว กับรอยแผลเป็นในหัวใจซึ่งแผลนี้ดูท่าจะใหญ่เอาการ
ช่วงนี้พ่อต้องออกไปทำงานแต่เช้า ส่วนแม่ก็ต้องไปช่วยขนปูนอีกแรง เพราะต้องหาเงินเพิ่มจากเงินออมที่ขาดหายไป บอยจึงต้องอยู่บ้านเล่นเพียงลำพังซะเป็นส่วนใหญ่ เวลาว่างๆ นั่งดูทีวีจอจอเล็กจิ๋วภาพขาวดำ บอยก็ไม่ได้มีสมาธิกับสิ่งที่กำลังโลดแล่นบนจอแก้วเลย ในหัวมีแต่ภาพป่าละเมาะที่ซอยหก ภาพเขากำลังแหวกพงหญ้าสูงท่วมหัว ลึกเข้าไป..ลึกเข้าไป ราวกับมีสิ่งลี้ลับบางอย่างกำลังร้องเรียกให้บอยกลับไปอีกครั้ง จนบางคืนถึงกับเก็บเอาไปฝัน ว่าเข้าไปแล้วเจอเด็กผู้ชายอีกคนมาเล่นด้วย แต่บอยก็คิดว่าคงเป็นเพราะเขาหมกมุ่นกับคำพูดของพ่อไอ้เรื่องตัวตายตัวแทนนั่นมากกว่า
เมื่อคืนพ่อบอกทุกคนตอนกินข้าวเย็นว่าวันพรุ่งนี้จะออกไปทำงานแต่เช้า และอาจจะกลับดึกเพราะงานเร่ง ทางช่างควบคุมงานเร่งเพราะต้องรีบส่งมอบงานงวดนี้แล้ว ไม่งั้นจะโดนปรับเพราะงานล่าช้า จึงต้องทำโอทีกันทุกคน แม่อาสาจะไปช่วย แต่พ่อกลับบอกให้อยู่เฝ้าบ้านแทน แล้วค่อยไปส่งข้าวเอาตอนเที่ยงกับเย็น แม่รับคำ ซึ่งบอยคิดอะไรดีๆ ออกแล้วในตอนนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป....
โฆษณา