ตอนสมัยผมยังละอ่อนอยู่ก็คือว่าประมาณ 20-30 กว่าปีที่แล้วช่วงปี 1990 มีการกล่าวขานกันว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ “มาเลเซีย” ส่วนเสือ 4 ตัวแรกของเอเชีย ( Four Asian Tigers) หรือมังกรเอเชีย ซึ่งเป็นการยกประเทศ 4 ประเทศที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึโตมากกว่า 7 % ต่อปีช่วงระหว่างปี 2503-2533 ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่า ไทย หรือ มาเลเซียจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่แล้วในปี 2540 ก็เกิดวิกฤติและหายนะทางเศรษฐกิจที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง เพราะจุดเริ่มต้นของวิกฤติเริ่มที่ประเทศไทยและส่งผลให้ประเทศในเอเชียเกิดวิกฤติตามมา มากบ้างน้อยบางตามแต่พื้นฐานของแต่ละประเทศ
ความพยายามของประเทศไทยซึ่งนับว่ามีความได้เปรียบทั้งทางภูมิศาสตร์ และ แหล่งทรัพยากรทั้งหลายดูเหมือนว่าเราจะมีโอกาสมากกว่ามาเลเซีย แต่แล้วความฝันของประเทศไทยก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความคิดและหน้าสื่อต่างๆ อันเป็นผลมาจากหลายๆปัจจัยแม้ว่าช่วงระหว่างปี 2528-2538 เศรษฐกิจของไทยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปีจากนโยบายโหมลงทุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก แต่จาก 10 ปีย้อนหลังไป คือระหว่าง 2551-2560 อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านบาท เป็น 10.2 ล้านล้านบาท คือเพิ่มเฉลี่ยแค่ 3.24 % เท่านั้น ซึ่งนับว่าต่ำมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ในขณะที่ชาติอื่นๆในอาเซียนเติบโต 5 % ขึ้นไปทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต ไม่น้อยกว่า 7% ซึ่งเวียดนามเพิ่มพ้นจากสงครามเวียดนามในปี 2518 แค่ 44 ปี แต่เวียดนามสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างน่าทึ่ง และเปลี่ยนจากคู่ค้าของไทยกลายเป็น “คู่แข่ง” ของไทยในปัจจุบัน อันมีสาเหตุมาจากมีสินค้าที่คล้ายๆกันอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็น ข้าว สิ่งทอ ส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก รองเท้า เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วเวียดนามยังมีการเมืองที่มั่นคงซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากๆอันดับต้นๆ เพราะสามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง แถมค่าแรงงานในเวียดนามนั้นประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศที่ที่ 150-170 บาท / วันเท่านั้น ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศที่เรียกว่า FDI มากกว่าประเทศไทยถึง 1 เท่าตัวในสองสามปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการจ้างงานทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศไทยนั้นติดกับดักทางการเมืองมาตั้งแต่ 2549 นับแต่การปฏิวัติในครั้งนั้นก็ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองตามมานับเป็นเวลา 13 ปี แถมแนวโน้มก็จะยืดเยื้อเป็นชนักติดหลังคนไทยไปอีกนานเท่านั้น
อีกประการหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปจำนวนประชากร และ อัตราการเกิดของประชากรไทยนั้นเกิดน้อยลงไปจากเดิม ปีละ 1 ล้านเศษ เหลือ 6-7 แสนคนต่อปี ทำให้กำลังภาคการผลิตลดลงไป ไม่นับว่าคนไทยชอบสบายมีคนจน 14.5 ล้านคน(รวมคนแก่ /ชรา) ซึ่งคนหนุ่มสาวไม่ทำงานหรือเป็นการว่างงานแบบแอบแฝง ในขณะที่แรงงานทั้งหลายในการก่อสร้าง โรงงาน และ การประมง เป็นชาว พม่า เขมร ลาว ซึ่งนับเฉพาะที่ขึ้นทะเบียน 2.8 ล้านคน ถ้ารวมพวกผิดกฎหมายคงไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน แถมสังคมคนชราอย่างสมบูรณ์เข้ามาเยือนประเทศไทยแล้วครับเพราะในปี 2561 ที่ผ่านมามีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 20 % แล้วครับ
ส่วนประเด็นสุดท้ายคือระบบการศึกษาของไทยที่ ส่งเสริมและมีวัฒนธรรมในการศึกษาระดับปริญญาเพราะเป็นหน้าตาของครอบครัว และการวางแผนการผลิตซึ่งไม่มีการวางแผนโดยปล่อยให้เป็นอิสระของมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาผลิตแต่บัณฑิตทางด้านสังคมศาสตร์มา ทำให้ต้องทำงานต่ำกว่าคุณวุฒินับเป็นการสูญปล่าวทางการศึกษาอย่างยิ่ง ในขณะที่ประเทศพัฒนาทั้งหลายส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิจัย วิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศได้มากกว่า มีข่าวเล็กๆว่ามีเด็กเวียดนามประสบความสำเร็จใน “สตาร์ทอัพ” โดยประดิษฐ์แอพพลิเคชั่นการชำระเงินด้วยการสแกนใบหน้า FACE PAYMENT ได้รับเงินทุนสนับสนุนเป็นจำนวนมากทำให้การขยายตลาดเข้าไปในหลายประเทศทั้งจีน และกำลังจะเปิดกิจการนี้ในประเทศไทยอีกด้วย
เสือตัวที่ 5 หรือ เสือตัวที่ 6 เสือตัวที่ 7 ก็มิอาจเป็นได้แล้วในตอนนี้ คงเป็นได้แค่ “เสือป่วย (เรือรั้ง) แห่งเอเชีย” เพราะดูแนวโน้มแล้วในชีวิตผมที่เหลืออยู่ซึ่งไม่น่าจะเกิน 20 ปีจากนี้ไปยังไม่เห็นความหวังว่าจะกลับมารุ่งเรืองได้ดังในอดีต แต่ “ชีวิตต้องก้าวเดิน” ดังนั้น KEEP WALKING ครับ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ......!!