4 ส.ค. 2019 เวลา 09:05 • การศึกษา
หนังสือ The Dark side of the Light chasers
เขียนโดย Debbie Ford
“อะไรที่เราไม่ยอมรับในตัวเรา จะกุมชีวิตของเรา”
Debbie Ford นักเขียนที่มีหนังสือติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์ก ไทมส์ ถึง 4 เล่ม จากหนังสือทั้งหมด 8 เล่มของเธอ เธอยังเป็นนักพูด และโค้ชด้านการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเป็นผู้บุกเบิกการผสานองค์ความรู้เกี่ยวกับเงามืดในจิตใจมนุษย์เพื่อเข้าสู่การฝึกปฏิบัติทางจิตวิทยาสมัยใหม่และจิตวิญญาณ
หนังสือเริ่มกล่าวว่าเมื่อตอนที่เราทุกคนเกิดมา เราล้วนเกิดมาพร้อมกับการยอมรับในตัวเอง เราจะไม่ตัดสินว่านิสัยส่วนไหนของเราที่ดี และส่วนไหนของเราที่เลว
แต่พอเมื่อเราโตขึ้น เราได้รับการสั่งสอน การอบรมว่าสิ่งไหนที่จะทำให้เราเป็นที่ยอมรับ สิ่งไหนจะทำให้เราถูกปฏิเสธจากคนอื่น สิ่งไหนที่เราต้องกำจัด หรือนิสัยไหนที่เราไม่ชอบในตัวเอง ทำให้เราทุกคนต้องพยายามกำจัดนิสัยเหล่านั้นหรือไม่ก็พยายามซ่อน พยายามกดมันเอาไว้
ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเราเป็นเด็ก เราจะถูกสั่งสอนถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำมาตลอด เราจึงต้องทำตัวให้ดีให้น่ารักในแบบที่ทุกคนคิดว่าดี เพื่อที่เราจะได้เป็นที่รักและได้รับการยอมรับจากทุกคน ทำให้ในบางครั้งเราต้องเป็นคนโกหกทั้งต่อตัวเองและคนอื่น เพื่อให้คนอื่นมองเราดีและเปิดใจยอมรับเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตอนเราเป็นเด็กถ้าเราไม่ยอมแปรงฟันก่อนนอนเราก็จะดูไม่ดีในสายตาพ่อแม่ ซึ่งพอเราไม่ได้แปรง ทำให้เราต้องกลายเป็นเด็กที่โกหกเพื่อที่เราจะได้ดูเป็นเด็กที่ดีในสายตาคนอื่น
แต่ความเป็นจริงก็คือ เราจะเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมได้ไม่ใช่เพราะเราขจัดข้อเสียเราไปได้หมด แต่กลับเป็นการยอมรับข้อเสียในตัวเราเองต่างหาก การยอมรับข้อเสียจะทำให้เราเปิดกว้าง ข้อเสียที่เปรียบเหมือนเป็นเงามืดในตัวเรามีไว้เพื่อสอนเรา นำทางเรา เพราะถ้าเราไม่รู้จักความมืดเราก็ไม่มีทางรู้จักความสว่าง ถ้าเราไม่รู้จักความเกลียดเราก็ไม่มีทางรู้จักความรัก และถ้าเราไม่รู้จักความโลภ เราก็จะไม่มีทางรู้จักความใจกว้างได้
เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจอยู่กับด้านมืดของตัวเอง เพื่อยุติความทรมาน และเลิกซ่อน เลิกปิดบังตัวเองจากตัวเราเอง เพราะเมื่อเราทำแบบนั้นเราจะเลิกซ่อนตัวจากโลกและสังคมที่ปลูกฝังความเชื่อแบบผิดๆว่ารางวัลมีไว้ให้คนที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น การที่เราพยายามจะเป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบจะกัดกินเราและทำให้เรามีแต่ความทรมาน
คนเรามักจะตัดสินคนที่มีนิสัยที่เราไม่ชอบ หรือนิสัยที่เรารู้สึกรังเกียจในตัวเอง และการที่เราไม่ยอมรับนิสัยเหล่านั้นก็ยิ่งจะทำให้เราดึงดูดแต่คนที่มีนิสัยที่เราไม่ชอบเข้ามาหาเรา และยิ่งเรารับนิสัยบางอย่างในตัวเราไม่ได้ เรากลับจะยิ่งโยนนิสัยเหล่านั้นไปให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะนั่นคือกลไกการป้องกันตัวของเรา เช่น ถ้าเราไม่ชอบคนไม่ฉลาด นั่นก็เป็นเพราะเรารู้ว่าลึกๆเราไม่ฉลาดหรือเคยเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราดูแย่จากการที่เราทำอะไรและถูกว่าว่าไม่ฉลาด จนเรารับไม่ได้ และเราก็พยายามอย่างมากที่จะกำจัดความไม่ฉลาดในตัวเราออกไป ทำให้เรารับไม่ได้กับคนอื่นที่มีนิสัยแบบที่เราไม่ชอบในตัวเองหรือนิสัยที่เราคิดว่าเขาไม่ฉลาด และในบางครั้งคำแนะนำอะไรที่เรามีให้คนอื่น ที่แท้จริงมันเป็นคำแนะนำที่เราอยากบอกตัวเองมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ไม่ใช่แค่นิสัยเชิงลบเท่านั้นที่เรามักโยนไปให้คนอื่น บางครั้งเราก็โยนนิสัยเชิงบวกไปยังคนอื่นอีกด้วย เวลาที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตตามศักยภาพที่ตัวเราเองควรจะเป็น เราก็จะโยนคุณสมบัติเชิงบวกไปให้คนที่ดำเนินชีวิตตามศักยภาพของตัวเอง เราถึงมักชื่นชมในความสามารถของคนอื่นเสมอ ง่ายๆคือให้เราลองสังเกตจากคนที่เราชื่นชม คนๆนั้นมักจะมีนิสัยบางอย่างที่เราชอบและนิสัยนั้นแท้จริงแล้วมีอยู่ในตัวเราเพียงแค่เราไม่เห็นมัน
ในตัวเราทุกคนยังมีการที่เราความกลัวการเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ กลัวที่จะพบว่าสิ่งที่เราเกลียดที่สุดในตัวคนอื่นแท้จริงก็คือสิ่งที่เราเกลียดที่สุดในตัวเราเอง เรากลัวว่าพลังและความยอดเยี่ยมจะทำให้เราต้องโดดเดี่ยวเพราะรอบตัวเรามีแต่คนธรรมดา เรากลัวการปฏิเสธมากจนยอดทิ้งคุณสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราควรมองหาจุดเด่นของนิสัยแย่ๆ เหล่านั้น เป็นต้นว่า ถ้าเราไม่ชอบความอ่อนแอ ข้อดีของความอ่อนแอ คือ การที่เราเป็นคนยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้ดีกับทุกๆสถานการณ์ หรือการที่เราไม่ชอบความไม่ฉลาด ก็กลับทำให้เรามีความพยายามในการศึกษาหาความรู้มากขึ้นเพื่อที่เราจะไม่ได้มีนิสัยที่เราไม่ชอบ
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถรวมด้านลบเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเราได้ เราจะไม่ต้องตอกย้ำอะไรตัวเองอีก เราจะรู้ว่าเราเองก็เป็นได้ทั้งคนสวยงามและน่าเกลียด เป็นทั้งคนที่ขี้เกียจและมีจิตสำนึก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละช่วงที่เราต้องเจอที่ทำให้เราเป็นคนทั้งในแบบที่เราชอบและเราไม่ชอบ เพราะเมื่อเราเชื่อว่าเราเป็นได้แค่ด้านใดด้ายหนึ่ง เราจะดิ้นรนไม่หยุดหย่อนเพื่อที่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่น ถ้าเราเกิดเชื่อว่าเราเป็นเพียงแค่คนอ่อนแอ หรือเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นรอบตัวเราไม่มี เราก็จะรู้สึกละอาย แต่เมื่อไหร่ที่เรายอมรับทุกๆคุณสมบัติ เราก็จะเข้าใจว่าทุกคุณสมบัติมีบางสิ่งที่สอนเราอยู่
ซึ่งในบางครั้งการที่เราจะยอมรับคุณสมบัติอะไรสักอย่าง เราจำเป็นต้องปลดปล่อยความโกรธสะสมที่เรามีต่อตัวเองและคนอื่น เราจำต้องปลดปล่อยอารมณ์เชิงลบก่อนที่เราจะสามารถรักตัวเองได้อย่างแท้จริง มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราไม่ควรทำคือ การปลดปล่อยทางอารมณ์ด้วยการทำร้ายคนอื่น
บ่อยครั้งที่ชีวิตเราส่งบทเรียนที่โหดร้ายมาให้ทำให้เราเพื่อให้เราได้รับของขวัญแห่งชีวิต นั่นก็คือการเรียนรู้นั่นเอง
Debbie ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษามากมายจากคนที่มาเข้ารับการปรึกษากับเธอ ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่รู้สึกเกลียดลูกตัวเอง ผู้ชายที่เกลียดแฟนของเขาที่ชอบมาสายทั้งๆที่ตัวเขาเองก็มาสายประจำ ผู้หญิงที่ถูกปู่ของเธอคุกคามทางเพศ และในแต่ละบทก็ยังมีแบบทดสอบท้ายบทเพื่อช่วยในการตรวจสอบตัวเราเองและวิธีการที่เราจะก้าวข้ามผ่านสิ่งต่างๆและเปิดใจยอมรับเงามืดในตัวเองอีกด้วย
#อ่านแล้วมาย่อย
โฆษณา