11 ส.ค. 2019 เวลา 02:46 • สุขภาพ
วิตามีนซีกับโรคเกาต์
แชร์ประสบการณ์การลดความเจ็บปวดทรมานจากอาการโรคเก็าต์ของผมเอง ทดลองกับตัวผมเอง #หายปวดมาหลายเดือนแล้วครับ โดยใช้บทความของผศ.ดร.ภญ. วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาพประกอบจาก : https://www.mayoclinic.org/-/media/kcms/gbs/patient-consumer/images/2017/12/06/17/46/r7_gout-8col.jpg
ปล.ผมจะทานวิตามีนซีแบบเม็ดแคปซูล 500 mg.ต่อวันครับผม
จริงหรือไม่ที่การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดกรดยูริกได้
ผลการวิจัยคาดว่าวิตามินซีมีผลในการลดระดับกรดยูริกในเลือดจาก 2 กลไกหลักที่เกี่ยวข้อง [9]
วิตามินซี ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมเกลือยูเรตกลับเข้าสู่ร่างกายโดบการยับยั้งที่ตัวขนส่งโปรตีน ในท่อไตชนิด URAT1 จึงมีผลเร่งการขับกรดยูริกออกทางไต จึงมีผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลง
วิตามินซีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและผลการวิจัยพบว่าการขาดวิตามินซีอาจมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะอักเสบของโรคข้อกระดูกหลายข้อ (inflammatory polyarthritis) โดยไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด.
ฤทธิ์ลดระดับกรดยูริกของวิตามินซีนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายการวิจัย ซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน กับลดความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ เช่น Huang และคณะ ทำการศึกษาแบบสุ่มและปกปิดสองด้าน เปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่ได้รับวิตามินซีกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก ในผู้ป่วยจำนวน 184 คน พบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์ที่รับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน ติดต่อกันนาน 2 เดือนมีผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงประมาณ 0.5 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขณะที่กลุ่มที่ได้ยาหลอกมีค่าลดลง 0.09 มิลลิกรัม/เดซิลิตร นอกจากนั้นการศึกษาของ Choi และคณะ ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่รับประทานวิตามินซีกับอุบัติการณ์การเกิดโรคเกาต์ โดยใช้หลักเกณฑ์ประเมินโรคเกาต์จากแบบสอบถาม พบว่าเพศชายที่รับประทานวิตามินซีขนาด 1,000-1,500 มิลลิกรัม/วัน มีความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ลดลงร้อยละ 45 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับประทานวิตามินซีขนาดต่ำกว่า 250 มิลลิกรัม/วัน ที่พบความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ลดลงร้อยละ 17 นอกจากนั้นจากผลการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (meta-analysis) โดยการสรุปวิเคราะห์ผลจากงานวิจัยแบบสุ่มจำนวน 13 เรื่อง พบว่าการรับประทานวิตามินซีขนาด 500 มิลลิกรัม/วันนาน 30 วัน ให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ประมาณ 0.35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
โดยสรุปแม้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินซีกับการลดกรดยูริกยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด อย่างไรก็ตามปริมาณที่แนะนำให้รับประทานวิตามินซีต่อวัน (Recommended Dietary Allowance: RDA) ในผู้ใหญ่เพียงขนาด 75-90 มิลลิกรัม เท่านั้น โดยและพบว่าการรับประทานวิตามินซีในสูงมากกว่า 1,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งอาจเพิ่มความเป็นกรดในปัสสาวะ และอาจส่งผลลดความความสามารถในการละลายของกรดยูริก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลึกออกซาเลทที่อาจจับกับแคลเซียมในปัสสาวะซึ่งอาจก่อให้เกิดการตกตะกอนในท่อไตได้ จึงควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่มีประวัติการเกิดก้อนนิ่วในท่อไต [15,16] ดังนั้นหากจะรับประทานวิตามินซีเพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือดควรรับประทานในขนาดต่ำ (จากการศึกษาคือ 500 มิลลิกรัม/วัน) และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
โฆษณา