12 ส.ค. 2019 เวลา 09:17 • สุขภาพ
วันนี้แอดจะมาเล่าเรื่องราวเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนเกี่ยวกับคุณแม่ที่คลอดลูกในโรงพยาบาล แต่กลับเสียชีวิตทันทีหลังคลอดเรื่องนี้จึงเป็นปริศนามานานในช่วงศตวรรษที่ 19
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ หมอคนหนึ่งชื่อ หมอเซมเมลไวส์ ชาวฮังการี วัย 28 ปี ที่ย้ายมาทำคลอดใน กรุงเวียนนา ในหอผู้ป่วย 1 แต่เเล้วต้องประหลาดใจ เพราะไม่มีผู้ป่วยหญิงคนไหนกล้าทำคลอดในนั้น เพราะเมื่อเข้าไปแล้วเธอจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเลย และหมอก็เคยได้ยินข่าวลือนี้เช่นกันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในหอผู้ป่วย1 และคอยฆ่าหญิงที่จะมาคลอดในนี้
โรงพยาบาลนี้ชื่อว่า Vienna General Hospital ในขณะนั้นถือว่าเป็นโรงเรียนแพทย์ที่สอนดีที่สุดในยุโรป และมีการรักษาที่ดีที่สุดในยุโรปเช่นกัน มีแผนกทำคลอด 2 ส่วน คือ หอผู้ป่วย 1 และหอผู้ป่วย2
เมื่อมีข่าวลือว่าแม่จำนวนมากที่คลอดลูกแล้วตายอยู่ที่หอผู้ป่วย 1หมด หญิงทั้งหลายเลยทำทุกวิถีทางที่จะเข้าไปอยู่หอผู้ป่วย 2 ให้ได้
ภาพ : Wikipedia
ด้วยความสงสัยของหมอแซมเมลไวส์ จึงหาข้อมูลเก่าๆพบว่าก่อนหน้านั้น อัตราการตายของแม่ที่มาคลอด 2 ใน 100 เท่านั้น แต่นับตั้งแต่มีการแบ่งสัดส่วนหอผู้ป่วย กลับมีอัตราการตายในหอผู้ป่วย1 มากถึง 32% พูดง่ายๆ แม่ที่เดินเข้ามา สามคน ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้กลับออกไปอีกเลย ซึ่งอัตราการตายสูงขนาดนี้มากกว่าการตายจากแม่ที่ทำคลอดเองด้วยซ้ำ
หมอแซมเมลไวส์เรียกสิ่งนั้นว่า “ภาวะไข้หลังคลอด”
อาการคือผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องและป่องขึ้น มีน้ำสีขุ่นๆกลิ่นเหม็นเหมือนอาหารบูดเน่าไหลออกมาจากช่องคลอด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
แต่ผู้เชี่ยวชาญในยุคนั้นไม่มีใครตอบตรงกันสักคนถึงสาเหตุของภาวะไข้หลังคลอดนี้ บ้างก็ว่าหอผู้ป่วยอากาศถ่ายเทไม่ดี บ้างก็ว่าผู้ป่วยท้องผูก อสุจิสามีไม่ดี
หมอแซมเมลไวส์จึงศึกษาลักษณะหอผู้ป่วยทั้งสอง พบว่า แทบไม่มีอะไรต่างกันเลยทั้งอาหาร อากาศ หรือแม้แต่ผู้ป่วยเอง
ภาพ : Pixabay
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต่างกันชัดเจนคือ
หอผู้ป่วย 1 ทำคลอดโดยหมอและนักเรียนแพทย์ ส่วนหอผู้ป่วย 2 ทำคลอดโดยพยาบาลนักเรียนพยาบาลและผดุงครรภ์
1
คำถามคือทำไมแม่ที่มีหมอและนักเรียนแพทย์ทำคลอดถึงมีอัตราการตายมากกว่ามากๆ ทั้งๆที่วิธีทำคลอดเหมือนกันทุกขั้นตอน จะว่าหมอฝีมือแย่กว่าพยาบาลก็ไม่ใช่
วันนึงเพื่อนที่เป็นหมอของหมอแซมเมลไวส์เสียชีวิต จึงตัดสินใจผ่าศพเพื่อน ปรากฏว่าลักษณะท้องป่องมีหนองไหลปนเลือด ซึ่งลักษณะเหมือนกับภาวะไข้หลังคลอด แต่เพื่อนหมอเป็นผู้ชาย จะมีภาวะไข้หลังคลอดได้อย่างไร
เขาจึงสืบทราบมาว่าอาการป่วยของเพื่อนเริ่มขึ้นหลังจากอุบัติเหตุระหว่างการผ่าศพ! นักเรียนแพทย์ที่ช่วยผ่าศพดันพลาดทำมีดบาดมือหมอคอลเลตชกา(ที่เสียชีวิต)
จึงทำให้หมอแซมเมลไวส์พอเดาออกได้ว่าต้องมีบางอย่างจากศพถูกถ่ายทอดมาที่แผลหมอที่ถูกมีดบาด
เขาไขปริศนาได้แล้วว่าทำไมหอผู้ป่วย1 ถึงมีอัตราการตายของแม่ที่ทำคลอดสูงกว่าหอผู้ป่วย 2!!!
ภาพ : selecciones
ในยุคที่มนุษย์ไม่รู้จักคำว่า เชื้อโรค การรักษาของหมอจึงทำด้วยมือเปล่า ซึ่งรวมไปถึงการผ่าศพและตรวจภายในช่องคลอดด้วย ระหว่างทำงานมือของหมอเลอะเลือด หนอง หรือสารคัดหลั่งต่างๆ หมอก็เช็ดที่เสื้อกาวน์ เนื่องจากหมอในอดีตส่วนใหญ่จะภูมิใจที่เสื้อกาวน์เลอะเทอะ เปื้อนเลือดหนอง เพราะดูเหมือนคนทำงานหนัก เท่ๆ แมนๆ
ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เกิดโรคที่สามารถเดินผ่านจากศพเ
เดินผ่านมือหมอแล้วมาสู่แม่ที่รอคลอด
จะว่าไป หมอจะยอมรับได้อย่างไรว่าหมอเป็นคนฆ่าคนไข้เอง ทั้งๆหมอเองก็ทำงานหนักและหวังดีในการทำคลอดผู้ป่วย
หมอแซมเมลไวส์จึงหยุดวิธีสังหารหมู่นี้ด้วยการหยุดที่มือของหมอ คือหลังผ่าศพแล้วหมอและนักเรียนแพทย์ทุกคนต้องล้างมือผสมคลอรีนก่อน และใครก็ตามที่ผ่านประตูห้องคลอดต้องล้างมือก่อนเสมอ
หมออิกนาซ เซมเมลไวส์ (ภาพ : Wikipedia )
ซึ่งเดิมหอผู้ป่วย 1 อัตราการตายจาก 20% ลดลงเหลือเพียง 1% กว่าๆไม่นาน หมอทั่วโลกก็ต่างมาเรียนรู้ข่าวจากหมอแซมเมลไวส์ต่างยกย่อง สรรเสริญ ชื่นชม อัตราการตายก็ลดลงทั่วโลก ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์กันเลยทีเดียว
แต่จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหมอแซมเมลไวส์คือเขาตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องล้างมือด้วยคลอลีน ล้างไปเพื่ออะไร เพราะในวันที่ไม่มีใครรู้จัก เชื้อโรค แบคทีเรีย หรือไวรัส การล้างมือเพื่อป้องกันโรคถือเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
ทำให้หมอเก่งๆหลายคนโจมตีหมอแซมเมลไวส์ จนในที่สุดเขาถูกออกจากงานกับบั้นปลายชีวิตที่รันทด ถูกทำร้าย ซึมเศร้า จนเสียสติและเสียชีวิตในที่สุด
ทุกวันนี้เรารู้จักกับสิ่งที่ฆ่าแม่ที่มาคลอด คือ การติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง
อ้างอิง : หนังสือสงครามที่ไม่มีวันชนะ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านนะคะ
สุขสันต์วันแม่ค่ะ
12/08/62
ท่านเด็ก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา