17 ส.ค. 2019 เวลา 05:22 • ประวัติศาสตร์
เมื่อวันนองเลือด ได้มาเป็นวันสันติภาพอย่างหวุดหวิด ๑
๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ นี้คือวันครบรอบ ๗๔ ปีการประกาศพระบรมราชโองการสันติภาพไทย เมื่อปี ๒๔๘๘ (1945) โดยนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ และหัวหน้าขบวนการเสรีไทย เพื่อแสดงจุดยืนของคนไทยทีต้องการรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ ต่อต้านผู้รุกรานคือญี่ปุ่น และพร้อมร่วมมือกับสัมพันธมิตร ที่สำคัญได้ปฏิเสธการกระทำของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และการรับมอบดินแดนเชียงตุง เมืองพาน และสี่รัฐมาลัยที่ช่วงชิงจากฝ่ายสัมพันธมิตร
นับเป็นประกาศสำคัญที่จะเป็นใบเบิกทางไปสู่การยินยอมเจรจาสถานะหลังสงครามของไทยกับสัมพันธมิตร ให้ไทยไม่เป็นประเทศแพ้สงคราม (อย่างน้อยในทางนิตินัย) คงไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตย
กว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์ฝ่ายไทย
ปี ๒๔๘๘ (1945) สถานการณ์ปีสุดท้ายของสงครามมหาเอเชียบูรพา ในประเทศไทยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยที่ดำเนินงานใต้ดินต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นที่ครอบครองไทยในยุคนั้น มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีจากการสนับสนุนของผู้นำเสรีไทย จึงได้มีผู้นำงานใต้ดินเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสำคัญของประเทศ
เช่นนาวาเอก หลวงศุภชลาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลโท หลวงสินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รองแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพบก พลตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ รน. ศ.วิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ฯลฯ
ในขณะเดียวกันขบวนการใต้ดินของไทยได้ติดต่อสร้างความเข้าใจ และสร้างความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นอังกฤษ สหรัฐ และจีน ได้สำสำเร็จในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๔๘๗ (1944) หลังจากที่ต่างฝ่ายได้พยายามฝ่าฟันอุปสรรคในการติดต่ออย่างแสนสาหัสเป็นเวลาหลายปี
ดังนั้นพลพรรคเสรีไทยได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง ด้วยการผนึกกำลังของคนไทยฝ่ายต่างๆ เช่นนักการเมือง ข้าราชการปกครอง ตำรวจ ครู นักศึกษา และประชาชน ทั้งนี้ด้วยการช่วยเหลือสนับสนุนด้านอาวุธและการฝึกของเสรีไทยสายอังกฤษและสหรัฐ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหารสัมพันธมิตร จนมีหน่วยพลพรรคเสรีไทย ๒๔ จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ มีกำลังพลพรรคราว ๕๐,๐๐๐ – ๘๐,๐๐๐ นาย จากคำยืนยันของจอมพลเรือ เอิร์ลเมานท์แบตเตน อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ยามสงคราม
กองทัพไทยทั้งสามเหล่าทัพ และกองตำรวจทั่วประเทศรวมได้ราว ๑.๕ แสนนายเศษได้กลับจากแนวรบนอกประเทศ มาเพิ่มกำลังประจำกรุงเทพและหัวเมืองสำคัญ เพื่อเตรียมการต่อสู้ประจัญหน้ากับกองทัพญี่ปุ่นในไทย
คู่ขนานไปกับฝ่ายไทย ปรากฏว่าขบวนการจีนใต้ดินต้านญี่ปุ่น ทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์และก๊กมินตั๋งก็ได้ขยายงานของตนตามชุมชนคนจีนในไทย โดยฝ่ายไทยไม่ได้ขัดขวาง กลุ่มคนไทยอิสระที่ต่อต้านญี่ปุ่นยังมีอีกไม่น้อย
อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่า โดยทางนิตินัยแล้วไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และอยู่ในสถานะสงครามกับอังกฤษและสหรัฐ เป็นภาระผูกพันที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม
กว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์ฝ่ายญี่ปุ่น
ตั้งแต่ปี ๒๔๘๗ (1944) กองทัพบกและกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นต้องเป็นฝ่ายถอยร่นเกือบทุกแนวรบ รวมทั้งในแนวรบพม่าตั้งแต่ยุทธการอูโกะที่ชายแดนพม่า – อินเดีย เมืองอิมพัลและเมืองโคฮิมาที่ล้มเหลวเมื่อเดือนกรกฎาคม จนเมื่อเข้าปี ๒๔๘๘ (1945) ที่กองทัพภาคพม่าของญี่ปุ่นต้องเสียภาคกลางของพม่า จนกองทหารบกญี่ปุ่นในพม่าต้องถอยเข้าไทยราว ๑ ใน ๓ ทำให้กองทัพบกญี่ปุ่นประจำประเทศไทย หรือกองทัพที่ ๓๙ ได้ขยายมาเป็นกองทัพภาคที่ ๑๘ มีกำลังพล ๑.๒ แสนนายเศษ
โดยยุทธศาสตร์หลักในภาคเอเชียอาคเนย์ ประเทศไทยเป็นด่านสำคัญอันดับถัดไปจากพม่า รวมทั้งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำและแหล่งทรัพยากรสำคัญที่จะเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่นในแนวรบต่างๆ กองทัพภาคที่ ๑๘ จึงมีภารกิจในการต้านทานการรุกของกองทัพบริติชอินเดียที่จะมาจากพม่า
แต่อีกด้านหนึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วไปอย่างไม่เป็นทางการในเวลานั้น คือทางฝ่ายไทยทั้งผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ พลตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ คนไทยจีนกลุ่มใหญ่น้อยต่างๆ และคนไทยในต่างประเทศ แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่เคยผูกมิตรกับญี่ปุ่น เป็นต้น ได้ดำเนินงานใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมื่อญี่ปุ่นกำลังเพลี่ยงพล้ำช่วงปลายสงคราม
ดังนั้นนอกจากการต้านทานอังกฤษแล้ว ภารกิจอีกด้านหนึ่งของกองทัพภาคที่ ๑๘ คือการระวังป้องกันการลุกฮือของคนไทยฝ่ายต่างๆ ทั้งประชาชน ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ จากภายในดินแดนไทยนั่นเอง
ถึงแม้ญี่ปุ่นกับไทยเริ่มเป็นศัตรูลับๆ กัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ผลีผลามกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม เพราะไทยเองก็ยังมีกำลังไม่พร้อม รอจนกว่าสัมพันธมิตรพร้อมจะเข้ามาบุกปลดปล่อยไทย ฝ่ายญี่ปุ่นโดยเฉพาะ พลโท อาเคโตะ นากามูระ แม่ทัพภาคที่ ๑๘ ประจำประเทศไทยเห็นประโยชน์ที่จะอาศัยทรัพยากรของไทย ไม่ต้องการทอนกำลังรบในการสู้กับอังกฤษไปกับการสู้รบกับไทย และยังหวังจะรักษาความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นในระยะยาว ฝ่ายญี่ปุ่นจึงพยายามดึงสถานการณ์ให้แตกหักกับไทยให้นานที่สุด จนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าไทยต่อต้านญี่ปุ่นอย่างแจ่มชัด
นายทวี บุณยเกตุ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายพลพรรคเคยกล่าวว่า อันที่จริงแล้วนายพลนากามูระ อดีตแม่ทัพญี่ปุ่นในไทยรู้เรื่องเสรีไทยถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์
เหตุเกิดเพราะสนามบินลับ
สนามบินลับ คือสนามบินที่สร้างขึ้นโดยปกปิดไม่ให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ เพื่อการขนส่งทางอากาศที่ต้องการปิดลับ มักจะเป็นไปเพื่อต่อต้านผู้มีอำนาจเหนือ ที่อาจเป็นผู้รุกรานหรือทรราช หรือลักลอบก่ออาชญากรรม
ในสถานการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา ขบวนการใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่นของไทย หรือขบวนการเสรีไทยได้สร้างสนามบินลับไว้เพื่อรับส่งแลกเปลี่ยนบุคคลฝ่ายไทยและสัมพันธมิตรในการดำเนินการสืบข่าว การจัดตั้งและฝึกพลพรรค ประสานงานการยุทธ และส่งอาวุธยุทธภัณฑ์สมัยใหม่ให้แก่พลพรรคใต้ดิน ที่ต้องเป็นสนามบินลับเพื่อไม่ให้เป็นที่รับรู้ของกองทัพญี่ปุ่นในไทย
ในดินแดนไทยได้มีสนามบินลับสำหรับงานต่อต้านญี่ปุ่นที่สำคัญได้แก่ สนามบินลับเต่างอย ในการควบคุมของนายเตียง ศิริขันธ์ สส.สกลนคร สนามบินลับเลิงนกทา นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี สนามบินลับภูเขียว ชัยภูมิ สนามบินลับโนนหัน ขอนแก่น สนามบินบ้านแพะ สระบุรี ในการบังคับบัญชาของกองทัพอากาศไทย เป็นต้น
เป็นที่สังเกตว่าสนามบินลับเหล่านี้ส่วนมากอยู่ในภาคอีสาน เพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวงและหัวเมืองยุทธศาสตร์สำหรับกองทัพบกญี่ปุ่น จึงมีทหารญี่ปุ่นมาเกี่ยวข้องน้อย และยังเป็นพื้นที่ป่าเขาที่ซ่อนพรางความสนใจจากผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นสนามบินลับจึงเป็นประตูสำคัญน้อยแห่งที่ไทยและสัมพันธมิตรจะติดต่อได้ในเรื่องการยุทธต่อต้านญี่ปุ่น การฝึกพลพรรค การสื่อสาร และการสร้างความเข้าใจทางการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งที่กองทัพญี่ปุ่นได้ตั้งอยู่ในประเทศไทยอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตามในยามสงครามฝ่ายญี่ปุ่นย่อมที่จะสืบข่าวงานต่อต้านของไทยอยู่เสมอ เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกกวาดล้าง แม้เที่ยวบินของสนามบินลับจะซ่อนพรางเพียงใดทหารญี่ปุ่นก็ยังสามารถสังเกตถึงเที่ยวบินที่ผิดปกติได้ เช่นการตรวจจับเครื่องบินใหญ่รุ่นของข้าศึกที่กลับไม่มาทิ้งระเบิดในไทย แล้วมักปรากฏขึ้นอย่างไม่ชอบมาพากลในน่านฟ้าภาคอีสาน ทำไมเป็นเช่นนั้น
ฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นในไทยจึงได้ประสานงานผ่าน “กรมประสานงานพันธมิตร” ของฝ่ายไทยในการตรวจหาสนามบินลับในภาคอีสานร่วมกัน แต่เจ้าหน้าที่ทหารในกรมประสานงานนี้ เป็นนายทหารไทยที่เกี่ยวข้องกับงานใต้ดินอย่างใกล้ชิด จึงได้แจ้งล่วงหน้าไปยังค่ายพลพรรค จึงพรางสนามบินลับได้ทัน เช่นครั้งหนึ่งไปขอตรวจสนามบินลับภูเขียวทางบก ฝ่ายทหารอากาศไทยจึงนำเจ้าหน้าที่และอาวุธยุทธภัณฑ์สัมพันธมิตรไปหลบซ่อนได้ทันเวลา รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมลวงทหารญี่ปุ่นให้เห็นว่าลำบากเกินจริง ทั้งอาหาร น้ำดื่ม สัตว์ร้าย จนยากที่จะเชื่อว่าทหารฝรั่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นได้
คณะนายทหารญี่ปุ่นและไทยเคยตรวจสนามบินลับที่สกลนครหลายครั้ง แต่ฝ่ายไทยได้แจ้งให้พลพรรคสกลรู้ตัวก่อนทุกครั้ง จึงพรางในรูปแบบที่หลากหลาย เช่นพรางเป็นพื้นที่การเกษตร เป็นพื้นที่ร้างจนในที่สุดเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๘๘ (1945) นายทหารญี่ปุ่นซึ่งออกตรวจทางอากาศจึงได้ขอให้เครื่องบินโฉบลงไปตรวจสนามบินลับสกลนครอย่างกะทันหัน โดยพลพรรคภาคพื้นดินไม่อาจทราบล่วงหน้าได้
“คราวนี้โชคไม่สู้ดีนัก เครื่องบินอยู่เหนือจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นเขตปฏิบัติการของนายเตียง “พลูโต” ศิริขันธ์… ซึ่งญี่ปุ่นคงจะได้ระแคะระคายอยู่แล้วเพราะฉะนั้นนายทหารญี่ปุ่นจึงขอให้นักบินลดระยะให้ต่ำลง และบินวนเวียนเพื่อตรวจดูท้องที่หลายแห่งและก็พบว่า ในบริเวณจังหวัดสกลนครนั้นมีสนามบินลับถึง ๓ แห่ง”
ใช่แล้ว ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๘๘ (1945) วันที่ญี่ปุ่นค้นพบสนามบินลับ ย่อมเป็นหลักฐานชัดแจ้งว่ามีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่กว้างขวาง ความลับเสรีไทยจึงไม่เป็นความลับสำหรับทหารญี่ปุ่นอีกต่อไป
แน่นอน เมื่อกองทัพภาคที่ ๑๘ ของญี่ปุ่นมีหลักฐานที่ที่ชัดเจนว่าไทยกำลังจะลุกฮือขับไล่ แม้แต่นายพลนากามูระที่มีชื่อว่าใจเย็น”หวาน” ก็ยังสรุปไว้ว่า ถึงเวลาที่จะใช้กำลังทหารแล้ว
ในเมื่อญี่ปุ่นลงมือจริง ฝ่ายไทยก็ต้องต่อต้านจริง สิงหาคม ๒๔๘๘ (1945) ย่อมจะต้องนองเลือด
แล้วทำไมถึงจั่วหัวว่า กลายเป็นวันสันติภาพ ขอเชิญติดตามเรื่องราวในตอนต่อไปครับ
โฆษณา