19 ส.ค. 2019 เวลา 05:20 • การศึกษา
หนังสือ How Starbucks saved my life : A Son of Privilege Learns to Live Like Everyone Else : ชีวิตผมรอดได้ด้วย Starbucks
เขียนโดย Micheal Gates Gill
เรื่องราวในหนังสือเล่าถึงชีวิตของผู้เขียนในวัย 60 ปี ที่ต้องมาเป็นพนักงานในร้านกาแฟ หลังจากที่เขาสูญเสียทุกอย่างในชีวิต..
Micheal (ไมเคิล) เป็นชายที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยระดับ IVY League อย่าง Yale ในปี 1963 เมื่อจบมาเขาก็ได้ทำงานในวงการเอเจนซี่ทันที เขามีตำแหน่งในระดับสูงของบริษัท J. Walter Thompson Agency ในนิวยอร์ก เเละมีเงินเดือนถึง 6 หลัก พร้อมบ้านหรูในแถบชานเมือง และมีครอบครัวที่น่ารักพร้อมกับลูกๆทั้ง 4 คน
แต่เมื่อเข้าปีที่ 25 ของการทำงาน เขาก็ถูกไล่ออกโดยผู้หญิงคนที่ตัวเขาเองเป็นคนรับเข้าทำงาน เนื่องจากบริษัทต้องการลดขนาดลงและตำแหน่งของเขาก็เป็นตำแหน่งที่ได้รับค่าจ้างที่สูงเกินไป เขาออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกันภรรยาอีกคนของเขาก็ให้กำเนิดลูกชาย ทำให้ชีวิตครอบครัว 20 ปี ของเขากับภรรยาต้องจบลง อีกทั้งเขายังได้รับการวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งในตอนนี้ตัวเขาเองไม่มีทั้งงาน เงิน และไม่มีแม้แต่ประกันสุขภาพ
วันนึงขณะที่เขากำลังหมดอาลัยตายยากกับปัญหาทุกอย่างที่ประดังเข้ามาในชีวิต เขาเลือกที่จะไปนั่งที่ร้านสตาร์บัคส์ร้านหนึ่งที่อยู่ตรงริมหัวมุมถนนสายที่ 78 ในย่านแมนฮัตตันเพื่อที่แสร้งทำเป็นว่าเขามีนัดสำคัญกับใครสักคน ซึ่งในวันนั้นร้านกาแฟสาขานั้นมีงานเปิดบ้านรับสมัครงานอยู่พอดี ในขณะที่เขากำลังดื่มลาเต้ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่หรูที่สุดที่เขาสามารถหาดื่มได้ในตอนนั้น พนักงานคนหนึ่งของสตาร์บัค เธอเป็นผู้หญิงสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกัน วัย 28 ปี ที่ชื่อ Crystal Thompson (คริสตัน ธอมพ์สัน) ได้เดินเข้ามาคุยกับเขา พร้อมกับถามเขากึ่งหยอกล้อว่า เขาต้องการงานทำหรือไม่ ตัวไมเคิลเองที่เคยทำงานในระดับใหญ่โต เมื่อมาถึงวันนี้วันที่ตัวเขาเองไม่มีอะไรจะเสีย และที่สำคัญเขาต้องการเงิน เขาจึงตอบรับทำงานกับคริสตัลทันที
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของไมเคิลจึงเปลี่ยนไปจากผู้ชายที่ทำงานในชุดสูทราคาแพงมาเป็นพนักงานร้านกาแฟที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีเขียว
มีเรื่องราวมากมายที่ไมเคิลต้องเรียนรู้จากการทำงานที่ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ อคติต่างๆ การมองคนอื่นในแง่ลบ การดูถูกคนอื่นในแบบที่เขาเคยมีตอนที่ทำงานเอเจนซี่ถูกกำจัดไปจากการทำงานในร้านกาแฟ เช่น ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่าถึงช่วงแรกที่เขาต้องทำความสะอาดห้องน้ำในร้าน เมื่อเขาทำเสร็จเขาจะรีบล๊อคห้องน้ำไว้เพราะไม่อยากให้คนจรจัดเข้ามาใช้ห้องน้ำที่เขาต้องทำความสะอาด หรือการที่เขาต้องเรียนรู้และหาวิธีรับมือลูกค้าที่ต่อแถวยาวเหยียด หรือการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่เป็นคนดำที่เขาเคยดูถูกในสมัยก่อน
พนักงานทุกคนในร้านปฏิบัติต่อเขาอย่างดีและเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะอายุน้อยกว่าเขาหลายสิบปี การศึกษา และฐานะทางตระกูลน้อยกว่าไมเคิล แต่เขากลับรู้สึกสบายใจกับคนเหล่านั้นอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งผิดกับสมัยที่เขาทำงานในวงการเอเจนซี่ที่นับว่าเป็นสังคมชั้นสูง และเป็นที่ๆทุกคนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขากลับมีความสุขมากกว่าที่ได้ทำงานกับเพื่อนๆบาริสต้าที่อายุน้อยกว่าของเขา
ตัวเขาเองยังได้ทำงานหลายอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต โดยที่งานโปรดที่สุดในร้านกาแฟของเขาคือ การจัดชิมกาแฟฟรี เพราะเขาชอบที่จะได้พบปะแลกเปลี่ยนและให้ความรู้กับลูกค้าของสตาร์บัคส์
1
หนังสือเล่าสลับไปมาระหว่างช่วงที่เขาต้องฝึกฝนงานที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตในร้านกาแฟ กับการทำงานในบริษัทเอเจนซี่
ไมเคิลยังบอกอีกว่าสตาร์บัคส์ยังเป็นองค์กรที่ดูแลพนักงานอย่างดี ทั้งการให้ความเชื่อมั่นในตัวพนักงานรวมไปถึงสวัสดิการที่ดี ประกันสุขภาพ ไปจนถึงหุ้นของบริษัท
การที่เขาได้เข้ามาทำงานที่องค์กรแห่งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตและนิสัยของไมเคิลไปเป็นอีกคนแบบที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปในด้านดีได้ถึงขนาดนี้ และในตอนท้ายลูกๆของเขายังได้มาเยี่ยมเขาที่สาขาที่เขาทำงานพร้อมกับบอกไมเคิลว่า ลูกๆ ของเขาภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหนที่เขาสามารถเปลี่ยนตัวเองมาถึงจุดนี้และเลือกเส้นทางการทำงานแบบนี้ได้ และตัวเขาเองก็มีความสุขและรู้สึกดีมากที่ในวันนั้นเขาเลือกที่จะไปนั่งในสตาร์บัคส์ในวันที่มีการเปิดบ้านรับสมัครงาน
ในตอนสุดท้ายตัวเขาเองได้ย้ายมาทำที่สตาร์บัคส์สาขาที่ใกล้ที่พักของเขาซึ่งห่างจากที่พักเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเเละทำงานที่เขารักต่อไป
~เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เคยเกือบถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยที่นักแสดงหลักในเรื่อง คือ Tom Hanks และกำกับโดย Gus Van Sant แต่โปรเจ็คนี้สุดท้ายก็ถูกล้มพับไป~
#อ่านแล้วมาย่อย
โฆษณา