แสดงเป็น ยักษ์ใหญ่ ในเวที
มีฤทธี สูงศักดิ์ เป็นนักหนา
มีร่างกาย แข็งแรง แกร่งโยธา
มีพารา ลือเลื่อง เมืองบาดาล
มีไพร่พล มากมาย คณานับ
มีสินทรัพย์ นับค่า มหาศาล
มีเวียงวัง ใหญ่โต มโหฬาร
มีทหาร รับใช้ ให้สบาย
แต่พอม่าน เวที คลี่ปิดฉาก
ที่หลายหลาก มากนั้น พลันสลาย
อันหัวโขน เคยชิด สวมติดกาย
มอดมลาย หายวับ ไปกับตา
หวนสู่โลก ความจริง ทุกสิ่งสรรพ
ต้องยอมรับ ผลกรรม ตามยถา
อันวิถี โลกียะ โชคชะตา
ให้รู้ว่า ชีวี มีขึ้นลง
ดังพระธรรม ย้ำบท "กฎไตรลักษณ์"
จงตระหนัก อย่าได้ มัวใหลหลง
เมื่อถึงคราว รันทด ควรปลดปลง
ไม่ยืนยง คงอยู่ อย่างยาวนาน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ธรรมดา ชี้ชัด วัฏสงสาร
วันเวลา ล่วงไป ดั่งสายธาร
อย่าปล่อยผ่าน ชีวิต ควรคิดเป็น
คือเท่าทัน "สังขาร" การปรุงแต่ง
และรู้แรง "วิญญาณ" รับรู้เห็น
ด้วยตาดู รูปร่าง อย่างที่เป็น
หูมุ่งเน้น ใช้ฟัง เสียงแผ่วพาน
จมูกใช้ สำหรับ รับดมกลิ่น
เราใช้ลิ้น ลิ้มรส ของอาหาร
กายสัมผัส ร้อนเย็น เป็นอาการ
จิตประสาน ก่อเกิด "เวทนา"
รักชอบจริง ชิงชัง ฤๅเฉยเฉย
ด้วยคุ้นเคย รู้สึก ตามตัณหา
ความจำได้ หมายรู้นั้น คือ"สัญญา"
รวมเรียกว่า ๕กอง ของขันธ์เรา
"อคติ ทั้ง๔" ควรตระหนัก
แจ้งประจักษ์ รู้ไว้ ไม่ขลาดเขลา
รักโลภโกรธ หลงผิด คิดมัวเมา
เป็นดั่งเงา เผาผลาญ ลาญทรวงใน
สติทัน เวทนา คราสัมผัส
จิตรู้ชัด จับได้ ไม่เผลอไผล
ย่อมก่อเกิด ธรรมะ ขึ้นกลางใจ
คือหลักชัย ปฏิบัติ วิปัสสนา...