23 ส.ค. 2019 เวลา 05:38 • ธุรกิจ
นิสัย 9 อย่างที่เป็นตัวขัดขวาง productivity ของเรา
หลายครั้งที่เราทำบางอย่างจนเคยชิน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นนิสัยไม่ดี แต่ก็ห้ามตัวเองได้ เราทุกคนเคยตกอยู่ในวังวนนั้น อยู่ในโมเม้นที่ต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับการทำตามใจตัวเอง ส่วนใหญ่ข้างตามใจตัวเองมักชนะ ไม่ใช่เรื่องแปลก กว่าที่เราจะมีนิสัยใดนิสัยนึง มันต้องเกิดจากการทำกิจกรรมนั้นอยู่ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ และกลายเป็นนิสัยในที่สุด ซึ่งการจะแก้นิสัยก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน รวมถึงต้องอาศัยทั้งวินัยและหลักการคิดแบบมีเหตุผล เพื่อเอาชนะการตามใจตัวเองของเรา ทีนี้ลองมาดูกันว่าตัวเรามีนิสัย 9 อย่างต่อไปนี้กันบ้างหรือป่าว
1) เสพติดอินเตอร์เน็ต (Impulsively surfing the internet)
อินเตอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งเสพติดอย่างหนึ่งของผู้คนในทุกวันนี้ ตื่นเช้ามาใครหลายคนก็หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาไถเฟสบุคเป็นอย่างแรก อ่านเรื่องสเตตัสของคนนั้น คอมเม้นของคนโน้น กดดูวิดีโอ เผลอแปปเดียวกลายเป็นว่าเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง เราควรใช้เวลา 10-15 นาทีในการทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แทนการนอนไถโทรศัทพ์มือถืออยู่บนเตียง อาจใช้การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ ให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวก่อนลุกไปอาบน้ำแต่งตัว หรือเลือกทำ To do list ประจำวัน เราจะได้สามารถแพลนสิ่งที่ต้องทำในวันนี้และทำให้ได้ตามแพลนได้ดียิ่งขึ้น หากใครยังติดนิสัย ตื่นปุ๊ปต้องกดเฟสบุค อินสตราแกรม หรือ social media อื่นๆ เป็นอย่างแรก ควรรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน
2) มนุษย์สมบูรณ์แบบ (Perfectionism)
การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์นั้นคือเรื่องดี แต่ถ้าเรามันแต่ห่วงเรื่องความ perfect จนงานไม่เสร็จสักที เจ้านายเราคงไม่แฮปปี้ นอกจากจะรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง สิ่งนี้ยังเป็นการกดดันตัวเองและคนใกล้ชิดอีกต่างหาก เมื่อเรามีกรอบของความสมบูรณ์แบบ ความสร้างสรรค์ก็มักไม่ค่อยเกิด อย่างแรกคือต้องเปลี่ยนวิธีคิด ต้องรู้จักปล่อยวาง แทนที่จะทุ่มเวลาทั้งหมดไปในการทำให้มัน 100% ถ้าเวลามันจำกัด เราควรมองหาแผนสำรองไว้ก่อน ใครๆ ก็พลาดกันได้ ไม่มีใครที่ดีพร้อม 100% แต่เมื่อทำผิดแล้วต้องแก้ไข ไม่หนีปัญหา
3) นักประชุมตัวยง (Meeting)
การประชุมถือเป็นสิ่งที่เสียทั้งเวลาและเม็ดเงินสำหรับองค์กรอย่างมาก ควรเลือกเข้าเฉพาะประชุมที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา อย่าเอาเวลาทำงานไปผลาญในห้องประชุมเปล่าๆ
4) ตอบอีเมล์แบบเรียลไทม์ (Responding to emails as they arrive)
หลายคนมักติดนิสัย เห็นอีเมล์เด้งมาปุ๊ปรีบพิมพ์ตอบปั๊ป อีเมล์เป็นหนึ่งสิ่งที่คอยก่อกวนสมาธิ เราควรจะจัดเวลาในการตอบกลับอีเมล์ หลีกเลี่ยงการใช้เวลาช่วงเช้า ที่เป็นช่วงที่เราจะมี productive สูงสุดของวัน เอาเวลาช่วงนั้นไปใช้กับงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เป็นพิเศษ หรือเรื่องที่ต้องใช้สมาธิมากๆ แล้วเอาเวลาช่วงบ่ายๆ ไปเคลียร์อินบ็อกซ์แทน
5) Snooze เพื่อนยาก (Hitting the snooze button)
มีใครตั้งนาฬิกาแบบเลื่อนไปทุก 5 นาทีบ้าง การเลื่อนเวลาออกไป 5-10 นาที ไม่ได้ทำให้เรานอนเต็มอิ่มขึ้น แถมยังทำให้ปวดหัวไปอีก รู้หรือไม่ว่าพอเราตื่นมากดเลื่อนนาฬิกาปลุกแล้ว ร่างกายเราได้ถูกปลุกให้ตื่นตัวไปแล้ว ดังนั้น ก่อนตั้งเวลาปลุก ให้เราเลือกเวลาที่เราต้องการจะตื่นจริงๆ ดีกว่า จะทำให้นอนได้เต็มอิ่มมากขึ้น ตื่นมาสดใส ไม่เบลอ อีกหนึ่งสิ่งที่อยากเตือนคือ การกด Snooze เป็นเหมือนการบมเชื้อขี้เกียจ ยิ่งเราให้อาหารมันด้วยการเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน เราอาจกำลังเพาะเชื้อร้ายแห่งความขี้เกียจนี้ไปในทุกเรื่องๆ ของเราโดยที่ไม่รู้ตัว
1
6) ทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน คนคิดว่าเก่ง (Multitasking)
ไม่มีใครสามารถทำหลายอย่างๆ ได้พร้อมกัน เราแค่หยุดการทำอย่างนึง เพื่อไปทำอีกสิ่งหนึ่งต่างหาก ดังนั้น เราควรโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า ทำมันให้ดีสุด เสร็จแล้วค่อยไปทำอีกงานนึง การทำงานแบบจับปลาสองมือ นอกจากจะไม่ช่วยให้เสร็จเร็วขึ้น ยังง่ายต่อการเกิดข้อผิดพลาดอีกต่างหาก
1
7) เก็บงานยากไว้ทีหลัง (Putting off tough tasks)
ใครเป็นบ้างยกมือขึ้น เจองานยากๆ แล้วอยากเก็บไว้ทำทีหลังตลอด นี่ก็เป็นความเชื่อที่ผิด ความจริงคือยังไงเราก็ต้องทำมันอยู่ดี ยิ่งถ้ารู้ว่ามันยาก มันใช้สมาธิมากๆ ควรเอามาทำเป็นงานแรกของวัน ในช่วงเวลาที่เรากำลัง productive สุดๆ ต่างหาก
8) นอนเล่นมือถือ คอมพิวเตอร์ก่อนนอน (Using your phone, tablet or computer in bed.)
วันนั้นจะ productive หรือไม่ ไม่ได้วัดตอนตื่นแต่วัดกันตั้งแต่เข้านอนต่างหาก ลองสังเกตุว่าวันไหนที่เราได้นอนเต็มอิ่ม วันนั้นจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เจอเรื่องแย่ๆ แค่ไหนก็ยังสดใส กลับกันถ้านอนดึกเพราะมัวแต่ดูซีรีย์เพลิน เช้ามาเจออะไรไม่ถูกใจนิดเดียวก็พาลหงุดหงิดทั้งวันซะแล้ว หยิบโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ไปไว้อีกห้องได้เลยยิ่งดี
9) กินน้ำตาลใครว่าช่วยให้อารมณ์ดี (Eating too much sugar)
แม้ว่าน้ำตาลมีส่วนช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนโดรฟินที่ทำให้เราอารมณ์ดี แต่ถ้ากินในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายต้องการ จะนำพาโรคมาให้แทน ความสดชื่นที่ได้นั้นมักอยู่ไม่นาน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นเร็วเท่าไหร่ ก็จะลดลงเร็วเท่านั้น อย่าลืมว่าในอาหารทุกชนิดมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่แล้ว อย่างข้าวหรือแม้แต่ผลไม้บางชนิด ดังนั้นจึงต้องบริโภคอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
โฆษณา