26 ส.ค. 2019 เวลา 09:00 • ธุรกิจ
ไร้บ้าน แต่ไม่ไร้ความหวัง
แม้จรจัด แต่ไม่ยอมเป็นภาระใคร
เมื่อชีวิตเขาตกต่ำถึงขีดสุด จึงต้องรีบลุกขึ้นมาให้ได้
“คนไร้บ้าน” หรือถ้าผมจะเรียกแบบไม่สุภาพเลยก็คือ “คนจรจัด” ถ้าถามว่าคนกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับจากสังคมบ้างไหม ?
คงเป็นคำถามที่ไม่ต้องใช้เวลาคิด ผมก็ตอบได้ทันทีเลยว่า “ไม่”
ใคร ๆ ก็มองว่าคนกลุ่มนี้ขี้เกียจ ไร้ความสามารถ ไม่มีความพยายาม เอาแต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่นไปวัน ๆ
แต่เรื่องนี้ผมขอคิดต่าง เพราะผมกลับมองว่าพวกเขาแค่ “ล้ม” แต่ล้มแรงไปหน่อย เลยเจ็บหนักจนลุกขึ้นมายาก แต่โอกาสที่จะรีบลุกขึ้นมาได้มีเยอะเลยล่ะครับ ถ้าใจของพวกเขาใหญ่พอผมชอบเล่าเรื่อง
วันก่อนผมมีโอกาสได้เปิดดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เนื้อหาดีมากจนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูในโรง แต่ถ้าบอกชื่อเรื่องไปเพื่อน ๆ คงรู้สึกคุ้นหูแน่ ๆ เพราะนักแสดงนำในเรื่องนี้คือ Will Smith นักแสดง และนักร้องชื่อดัง
“The Persuit of Happyness” เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของชายผิวสีคนหนึ่ง ที่ต้องไปถึงจุดตกอับถึงขั้นไร้บ้านให้พักอาศัย แต่ด้วยความพยายาม ไม่เคยท้อถอย เขาจึงฉุดตัวเองขึ้นมาจากชีวิตอันย่ำแย่ และกลายเป็นมหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก
ที่สำคัญ...ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของชายที่ชื่อว่า “Chris Gardner”
Chris Gardner ชายชาวอเมริกันที่ชีวิตเต็มไปด้วยรสชาติอันแสนขม เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นใคร
ตอนเด็กเขาใช้ชีวิตอยู่กับแม่ และพ่อเลี้ยงที่ไม่เคยใส่ใจเขาเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำพ่อเลี้ยงยังเป็นไอ้ขี้เมาที่เอาแต่ทำร้ายร่างกายคนรอบข้างอยู่เสมอ เขาเองก็โดนทำร้ายอยู่บ่อย ๆ ส่วนแม่ก็มีปัญหากับพ่อเลี้ยงจนมีเรื่องให้ติดคุกติดตาราง
เขาจึงต้องออกจากบ้านหลังเดิมแล้วไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กในวัยเพียงแค่ 8 ขวบ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เมื่อโตขึ้นจึงพยายามศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยม แล้วหาทางเอาตัวรอดโดยไปประจำการเป็นทหารเรือ ซึ่งเขาก็ได้รับหน้าที่เป็นทหารแพทย์นานถึง 4 ปี
หลังปลดประจำการไปไม่นานเขาจึงหันไปเป็นเซลล์แมนขายเครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงสร้างครอบครัวจนมีลูกชายเป็นสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แต่เครื่องมือทางการแพทย์ที่เขาต้องนำไปเสนอขาย กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะมันคือเครื่องสแกนกระดูกที่ใคร ๆ ต่างก็มองว่าสิ้นเปลืองเกินกว่าจะทุ่มเงินซื้อมา
ธุรกิจที่เขาวาดฝันไว้ต้องพังทลาย เมื่อยอดขายตก เงินที่มีก็ต้องหมดไปด้วยเช่นกัน รายได้เพียงน้อยนิดไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวอีกต่อไป ไม่นานเขาก็ถูกไล่ออกจากบ้านเช่าเพราะไม่มีเงินจ่าย
แต่แล้ว Chris Gardner ก็กลายเป็นชายไร้บ้านอย่างเต็มตัว ชีวิตของเขาเหมือนถูกฉุดลงไปในเหวลึก ในแต่ละคืนต้องพาลูกตัวเล็ก ๆ เดินหาที่พักพิง บางวันไม่มีข้าวกินจนต้องรอรับอาหารจากสวัสดิการสำหรับคนยากไร้
เขาเกือบจะถอดใจให้กับความล้มเหลวในครั้งนี้ แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าลูก เขาก็พบว่าชีวิตเขาจะมาพังแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องทำอะไรสักอย่างให้มันดีขึ้น !
แต่แล้วโชคชะตาก็ส่งชายคนหนึ่งมาพร้อมกับรถเฟอร์รารี่คันหรู เห็นเพียงนิดเดียวก็รู้แล้วว่าหมอนี่ต้องรวยมาก
Chris Gardner มองเห็นชายคนนี้ก็ยิงคำถามใส่เขาทันทีว่าผมต้องทำอย่างไร ถึงจะมีชีวิตดี ๆ แบบคุณได้บ้าง ?
คำตอบของชายคนนั้นจุดประกายความหวังของเขาให้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เขาบอกให้ Chris ลองไปเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือที่เรียกกันโบรกเกอร์หุ้นดู อันที่จริงแล้วชายคนนั้นคือ Bob Bridges แห่งบริษัท Dean Witter Reynolds ซึ่งเปิดโอกาสให้ Chris ได้ลองไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทดู
ด้วยความพยายามของเขา แม้จะมีอุปสรรคมากมายแต่มันก็ทำให้เขาผ่านการสัมภาษณ์ไปได้ในที่สุด
ชีวิตการเป็นโบรกเกอร์ของเขาไปได้สวยเลยทีเดียว ไม่นานเขาก็มีเงินเก็บมากพอจะซื้อบ้านดี ๆ สักหลัง และออกมาเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นของตัวเองในนามว่า Gardner Rich & Co
คราวนี้รายได้จึงเข้ากระเป๋าแบบเต็ม ๆ เขาสร้างเนื้อสร้างตัว และสร้างเงินให้งอกเงยได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานผู้คนก็เรียกเขาว่า “มหาเศรษฐี” ผู้มีทรัพย์สินมากกว่าพันล้าน
ปัจจุบัน Chris Gardner หันมาทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมด้วยการเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังยอมแพ้ต่อโชคชะตาอันเลวร้าย เขาต้องการดึงทุกคนที่กำลังล้ม ให้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยกัน
ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวว่า
“I was homeless but I wasn't hopeless. I knew a better day was coming.”
“ผมเคยเป็นคนไร้บ้าน แต่ผมไม่เคยไร้ความหวัง ผมรู้ว่าวันที่ดีกว่าจะต้องมาถึง”
นี่ล่ะครับ ตัวอย่างของคนที่เคยไร้ซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่เคยไร้ซึ่งความหวัง จนประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่
ใครที่กำลังล้ม รีบลุกขึ้นมาให้ไว แล้วเติมหัวใจให้เต็มไปด้วยความหวัง และความพยายามกันนะครับ
วันดี ๆ ของทุกคนจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
...ชีวิตดีได้แน่ ถ้าไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา...
โฆษณา