28 ส.ค. 2019 เวลา 05:26 • ธุรกิจ
ถ้าก้าวคนเดียวแล้วไม่ไหว
ลองจับมือไปด้วยกันอย่างแข็งแกร่ง
บางคนมองว่าความรักเป็นปีศาจตัวร้ายที่คอยฉุดรั้งอนาคตดี ๆ ของตัวเองไว้ เลยไม่ยอมเปิดใจให้ใครสักที
ส่วนบางคนยอมเปิดใจนะครับ ปากบอกว่ารักกันมาก แต่ไม่มีใครยอมใครเลยซะงั้น ต่างคนต่างมองว่าตัวเองต้องเหนือกว่าอีกฝ่าย
ฉันต้องได้เป็นผู้นำนะ ส่วนเธอเป็นผู้ตามก็พอแล้ว
คำถามต่อมาก็คือ...ทำไมต้องมีคนนำ ? ทำไมต้องมีคนตาม ?
เอาล่ะ...ผมจะเล่านิทานคู่รักให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่ง...มีสองสามีภรรยาผู้อพยพจากบ้านเกิดไปอยู่ในดินแดนอันแสนไกล ชีวิตของพวกเขาย่ำแย่ และตกอับมาก แต่พวกเขาก็ไม่เคยเรียนรู้คำว่าผู้นำหรือผู้ตามสำหรับการใช้ชีวิตคู่เลย เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวไปพร้อม ๆ กัน
สุดท้ายเรื่องราวจึงจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง เพราะทั้งสองช่วยกันสร้างฐานะตัวเองให้ดีขึ้น จนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากแบรนด์เสื้อผ้าขนาดยักษ์ที่ใคร ๆ ต่างก็ยอมรับในความพยายาม
ทุกคนจะเชื่อไหมครับ...ว่านิทานเรื่องนี้มาจากชีวิตจริง ?
Do Won Chang และ Jin Sook สองสามีภรรยาจากดินแดนเกาหลีใต้ ที่ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองอย่างประเทศอเมริกาตั้งแต่อายุเพียง 26 ปี ด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่เมื่อไปถึงที่นั่นพวกเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของชีวิต ว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิด ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้ในความฝันเลยจริง ๆ
แค่สื่อสารกันยังยากลำบาก เพราะทั้งสองไม่ได้เรียนต่อ และไม่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษเอาซะเลย ที่พูดคุยกับคนอื่นไปก็แค่งู ๆ ปลา ๆ กว่าจะปรับตัวได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
พวกเขาทั้งสองไม่ค่อยมีเงินมากนัก เรียกได้ว่าสถานะตกอับเลยทีเดียว
แม้ในระยะแรกจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านญาติห่าง ๆ แต่ด้วยความเกรงอกเกรงใจ พวกเขาจึงตัดสินใจย้ายออกมาอยู่บ้านเช่าราคาถูกด้วยกัน ถึงแม้จะเป็นแค่ห้องเล็ก ๆ แต่มันก็เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากพอสมควร
Do Won Chang ต้องทำงานอย่างหนัก เพราะหวังจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้โดยเร็วที่สุด
เขาต้องทำงานถึง 3 อย่างในเวลาเดียวกัน แต่ละงานก็ใช้กำลังไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งภารโรง พนักงานในปั๊มน้ำมัน รวมถึงพนักงานในร้านกาแฟ
เขา และภรรยาช่วยกันเก็บเงินไปเรื่อย ๆ แต่ก็พบว่าจำนวนเงินที่มีมันไม่งอกเงยมากเท่าที่ควร เพราะรายรับมีแค่น้อยนิด แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงหนีคำว่าลำบากไม่พ้นแน่ ๆ
ด้วยความพยายามจะวิ่งหนีความจนของพวกเขาทั้งสอง ทำให้ฝ่ายภรรยานึกไอเดียดี ๆ ออก
เธอคอยสักเกตแฟชั่น และการแต่งตัวของคนอเมริกามาโดยตลอด แล้วก็พบว่ามันแตกต่างจากแฟชั่นของชาวเกาหลีมาก
เธอลองคิดเล่น ๆ ว่าจะเป็นอย่างไรนะ หากลองนำเสื้อผ้าสไตล์ใหม่ ๆ ที่แอบแฝงความเป็นเอเชียเอาไว้มาขายที่นี่ ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่สุดยอดมาก และสามีของเธอก็เห็นด้วย
แต่พวกเขาทั้งสองไม่วู่วามเปิดร้านเองโดยไม่มีความรู้ความสามารถ แต่ตัดสินใจไปสมัครงานที่ร้านเสื้อผ้า และลองทำงานอยู่ในนั้นสักระยะเพื่อเก็บเกี่ยวทั้งประสบการณ์ และเงินทุนในเวลาเดียวกัน
ด้วยความตั้งใจที่หนักแน่น ไม่นานพวกเขาก็เก็บเงินได้มากพอสำหรับเช่าสถานที่เล็ก ๆ เพียงแค่ 900 ตารางฟุต สำหรับเปิดร้านขายเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ Fashion 21 แล้วสิ่งที่พวกเขาไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เสื้อผ้าในร้านขายได้ดี และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เปิดร้านได้เพียง 1 ปี สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 7 แสนเหรียญฯ
เรียกได้ว่าธุรกิจของพวกเขามาแรงแซงร้านรอบข้างไปจนหมด
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Forever 21 ซึ่งการเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันทำให้ติดหูลูกค้ามากยิ่งขึ้น และดึงดูดคนให้สนใจได้มากกว่าเดิม
ส่วนตัวสินค้าไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะออกคอลเลคชั่นใหม่มากี่ครั้ง ก็ทันสมัย ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย และเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ
ธุรกิจของ Forever 21 เจริญเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งสองจึงตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันมีร้านอยู่มากกว่า 600 สาขาทั่วโลก
จะสังเกตได้ว่าเข้าห้างสรรพสินค้าทีไรต้องเหลือบไปเห็นแบรนด์เสื้อผ้าร้านนี้ตั้งอยู่แทบทุกแห่ง
Forever 21 กลายเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ใคร ๆ ก็รู้จัก และสร้างรายได้หลายพันล้านเหรียญฯ ในแต่ละปี เรียกได้ว่าความพยายามทั้งหมดไม่ได้สูญเปล่าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
การยืนด้วยขาของตัวเองได้อย่างแข็งแกร่งมันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมาก
แต่การช่วยพยุงคนข้าง ๆ ให้ไปด้วยกันได้อย่างเข้มแข็งนี่สิ ยากมากจริง ๆ นะครับ แต่ถ้าคุณทำได้ ผมขอยกนิ้วให้เลย
คุณเจ๋งมาก !
...ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เกิดขึ้นได้จากหัวใจที่หนักแน่นพอ...
โฆษณา