3 ก.ย. 2019 เวลา 03:04
พลังทำลายล้างของทุกข์ (ตอนที่ ๒)
ตอนแรกเราพูดถึงคนเลือกทุกข์มากกว่าสุข วันนี้เราจะมาคุยต่อกันถึงพลังทำลายล้างของทุกข์ต่อเราทุกคนและกลไกการเกิดของมันกัน
มนุษย์เราทำตัวเหมือนหลุมดำ มีพลังดูดพลังความทุกข์เข้าหาตัวเองตลอดเวลา พลังแห่งทุกข์ส่งผลให้เรามีความทุกข์กันบ่อยๆเป็นประจำปกติ ไม่ว่าทุกข์เล็กหรือทุกข์ใหญ่ พลานุภาพของทุกข์เริ่มแต่เล็กๆ เช่นรำคาญ ไม่พอใจ หงุดหงิด เบื่องาน เบื่อเจ้านายหรือลูกน้อง โตขึ้นจนถึงเบื่อโลก เคียดแค้น อิจฉาริษยา รุนแรงไปถึงเป็นบ้า เป็นโรคซึมเศร้า โรคจิต ระเบิดรุนแรงหนักสุดถึงขั้นฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตัวตาย ไม่ต่างจากภูเขาไฟที่พลังงานใต้พิภพค่อยสะสมพลังงานจนวันหนึ่งมากพอก็ระเบิดขึ้นบนผิวโลก รุนแรงมากน้อยขึ้นกับพลังที่กดดันมากน้อยเพียงไร? ความทุกข์ก็เช่นกัน มันเป็นพลังงานที่สะสมในรูปความเครียด หากเครียดน้อยก็ระเบิดออกมาไม่รุนแรง เพียงแค่รำคาญ หงุดหงิด ไม่พอใจ อารมณ์เสีย เป็นต้น แต่หากความเครียดสะสมมากเกินพิกัดก็ระเบิดรุนแรงออกมาเป็นคนบ้า คนโรคจิต คนโรคประสาท กระทั่งฆ่คนตายระบายแค้น หรือฆ่าตัวตาย เป็นต้น
อะไรเล่าทำให้เกิดทุกข์แบบนี้?
กลไกอะไรทำให้เกิดแบบนี้ขึ้น?
ความทุกข์บ้าๆบอๆเหล่านี้ทำไมเกิดซ้ำๆซากๆ อยากแก้แต่แก้ไม่เคยหายเสียที กลายเป็นนิสัยไม่ดีไป เช่นขี้หงุดหงิดรำคาญ ขี้โมโห ขี้โกรธ เป็นต้น
เราจะทำลายกลไกบ้าๆนี้ไม่ให้เกิดได้อย่างไรกัน?
สาระพัดคำถามแบบนี้เกิดขึ้นในหัว แต่สุดท้ายหาทางแก้ ทางออกกันไม่ได้ เสียที อยู่แต่ในวังวนนี้ไม่จบไม่สิ้น ทุกข์ไม่จบไม่สิ้น หาความสุขยั่งยืนไม่ได้ ทำไมเป็นเช่นนั้น?
วันนี้ เราจะมาคุยถึงกลไกการเกิดทุกข์กันก่อนแบบชาวโลก และในตอนที่ ๓ เราจะคุยภาคพิสดาร กลไกทุกข์ในคำสอนของพระพุทธเจ้าและในตอนจบ ตอนที่ ๔ เราจะมาคุยหนทางตัดทุกข์ทิ้ง ทำได้อย่างไรในมุมมองทางโลกแบบโลกียะและมุมมองของพุทธศาสนา
กลไกความทุกข์หากเขียนเป็นผัง สามารถเขียนคร่าวๆได้ดังนี้
สิ่งเร้าที่ไม่สบอารมณ์>>>>กระทบผ่านหูตาคอจมูกกายใจ >>>>> จิตรับรู้อารมณ์ทุกข์ขุ่นเคืองใจ >>>>> จิตสั่งการและกำหนดเครื่องมือรับมือกับสิ่งนั้น >>>>> เกิดเป็นอารมณ์ ,>>>>> แสดงพฤติกรรมทางกายวาจาใจ >>>>> ระเบิดทุกข์ออกมาเพื่อระบายพลังงานส่วนไม่ต้องการออกมา >>>>> ทำให้ร่างกายผ่อนคลายแล้วสงบลง ทุกข์จึงคลายหายไป
กลไกนี้เริ่มจากสิ่งเร้าที่ไม่ถูกใจมา
กระทบเข้ากับอวัยวะรับรู้ทางหูตาคอจมูกกายใจอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ผลกระทบนี้ส่งสัญญานคลื่นไปบอกจิตส่วนรับรู้ส่วนนี้ที่มีคลื่นความถี่ตรงกัน จึงรับรู้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวรับรู้ของจิต จิตก็แปลความหมายและตัดสินใจออกคำสั่งจากสัญาณที่ได้รับพร้อมกับเครื่องมือว่า จะรับมือมันอย่างเพื่อลดพลังทำลายของทุกข์นี้ จึงเกิดอารมณ์เป็นเครื่องมือสั่งการให้กายวาจาใจว่า ต้องไปทำอย่างนี้แสดงอย่างนี้เพื่อรับมือและระบายพลังทุกข์ที่มาทำลาย เพื่อสลายลดการทำลายต่อใจและร่างกายคนนั้น ดังนั้น พลังอารมณ์ที่เกิดจากความเครียด แรงกด แรงดันของความทุกข์ที่ขยี้ในใจเพื่อปลดปล่อยลดการทำลายกายใจคนๆนั้นอย่างรุนแรงด้วยการแสดงพฤติกรรมปลดปล่อยพลังนั้นออกมาเป็นคำด่า คำรุนแรง คำผรุสวาส อาการโกรธหรือโมโห หรือหากมันสะสมมากเกินไปและระบายหมดไม่ทันสะสมมานาน คนผู้นั้นก็เกิดเป็นคนบ้า โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า กระทั่งหนักสุดฆ่าคน ฆ่าตัวตาย ตามระดับหนักเบาและการสะสมของความทุกข์ที่แปลงตัวเป็นความเครียดแบบสะสม
กลไกการทำงานที่เกิดทุกข์โดยสรุปแบบคร่าวๆก็เป็นแบบนี้
เมื่อเรารู้ เข้าใจกลไกแบบนี้ มันไม่น่ายากแก้ความทุกข์ซินะ เพราะตัดสิ่งเร้าไม่พอใจออก มันก็จบ ความทุกข์ไม่เกิดแน่นอน มันควรแก้ได้ง่ายๆเอง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ รู้ เข้าใจแบบนี้มันไม่เคยตัดทุกข์ ตัดต้นตอทุกข์ขาดสิ้นเชิงได้เลย เราจึงอมทุกข์ใหญ่น้อยอยู่กันชั่วนาตาปี ไม่สามารถหลุดวงจรอุบาทว์ของทุกข์ไปได้ให้ง่ายดั่งใจคิด ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? มันมีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่กระนั้นหรือ? ในตอนที่ ๔ เราจะมาคุยกันหลังตอนที่ ๓จบ
ท่านผู้อ่านมีความเห็นด้วย ความเห็นต่าง ความเห็นร่วม แสดงความเห็็นได้ เพื่อเราจะได้แตกองค์ความรู้ให้แจ่มชัด สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทำให้พวกเราโตทางความคิด ปัญญา ความเจ้าใจไปพร้อมๆกัน เติมเต็มให้กันและกัน
บุญเรือง
โฆษณา