The Big Short ภาพยนตร์ที่เล่าถึงวิกฤตเศรษฐกิจซับไพรม์ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีก่อน นอกเหนือจากนักแสดงชั้นนำที่ขนกันมาอย่างคับคั่ง ตัวหนังยังสะท้อนให้คนธรรมดาอย่างพวกเราได้ตระหนักถึงความสำคัญของความรู้ทางการเงิน
The Big Short เริ่มเรื่องราวจาก Dr. Michael Burry (Christian Bale) ผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ ต้องการที่จะขายชอร์ตตลาดบ้าน (Short) หรือ ที่เรียกว่า CDS (Credits Default Swaps) พูดภาษาบ้านๆก็คือ พนันว่าระบบสินเชื่อบ้านจะพังพินาศ เนื่องจากไปค้นพบฟองสบู่ก้อนมหึมาในตลาดนี้เข้า สิ่งที่น่าสนใจคือ การค้นพบของ Dr. Michael เกิดจากการศึกษาข้อมูลทางสถิติที่เกิดขึ้นจริง จนได้ข้อสรุปที่แม่นยำ ไม่ได้เกิดจากการคาดเดาใดๆ
Indywire.com
ต่อมา Jared Vennett (Ryan Gosling) นายหน้าขายพันธบัตรแห่งด๊อยซ์แบงค์ ได้ยินการเข้าซื้อ CDS กว่า 1,300 ล้านเหรียญของ Dr. Michael โดยบังเอิญ จึงหาข้อมูลและฉวยโอกาสนี้ เสนอขาย CDS แก่ผู้จัดการกองทุนอื่น เพื่อหวังค่าคอมมิชชั่นก้อนโต ข้อคิดที่ได้จาก Jared คือ “Connection” มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความรู้ความสามารถ การนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่ถูกต้อง (The right place with the right people) ก็ยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ตัวเองได้
Filmcomments.com
Jared เสนอขาย CDS แก่ Mark Baum (Steve Carell) ผู้จัดการกองทุนขนาดเล็ก Mark เป็นคนหุนหันพลันแล่น ปากตรงกับใจ คิดอะไรก็พูด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการทำงาน Markเป็นคนละเอียด เขาสืบหาข้อมูลจนรู้ว่า Dr. Michael พบหนี้ก้อนโตในสถาบันทางการเงิน อันเป็นปัจจัยเร่งให้วิกฤติได้เร็วขึ้น รวมถึงได้สั่งให้ทีมตัวเองลงพื้นที่สำรวจตลาดอสังหาฯและพบกับความจริงที่ว่า บ้านราคาสูงลิ่ว และลูกหนี้ไม่มีปัญญาจ่ายคืนเงินกู้ วิกฤติจากฟองสบู่เกิดขึ้นแน่ๆ Mark จึงตกลงปลงใจปิดดีลกับ Jared
The Big Short ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ในเรื่องอาจจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะที่ยาก ผู้ชมจึงต้องมีสมาธิอย่างมาก แต่รับรองถึงความคุ้มค่า ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ควรค่าแต่การชม โดยเฉพาะผู้ที่สนใจด้านการเงินและการลงทุน