Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Kuru Rin Po Chae
•
ติดตาม
8 ก.ย. 2019 เวลา 22:38 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Crack RNA Code - Appendix I
เมื่อกล่าวถึงการทะลุเวลา-ข้ามมิติ ก็มักมีนักคิดหัวสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่เป็นชาวตะวันตก จะบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล มีแต่ในนิยายหลอกเด็กพวกSci-Fi หากทำได้จริง ทำไมนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ของโลกปัจจุบันซึ่งเจริญทางเทคโนโลยีมีSmart Phone ใช้แล้ว ยังทำไม่ได้
แต่นักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์ยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้บอกว่า "เป็นไปไม่ได้" ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งตะวันตกทั้งนั้น 99.99% เพราะอะไร นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงบอกว่า "ยาก" ก็เพราะใน DNA ของเขาเหล่านั้น ไม่ได้บรรจุข้อมูลใด ๆ ทางพันธุกรรมจากบรรพบุรุษ นับตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์เซลเดียวเป็นต้นมา
ดังนั้น ใน DNA จึงไม่มีข้อมูลให้ RNA ไปสืบค้น คือหายังไงก็ไม่มี เหมือนห้องสมุดที่ไม่มีหนังสือประเภทนั้น ด้วยเหตุดังนี้ชาวตะวันตก ส่วนใหญ่จึงเชื่อใน "วัตถุ" เพราะขาดพื้นฐาน ทั้ง ๆ ที่สมการคำนวณ ก็คิดขึ้นมาเอง ดังนั้น เมื่อ DNA ไม่มีข้อมูล จึงทำให้เกิด "ความคิด หรือภาพ ว่า ทำไม่ได้" เกิดอารมณ์ปฏิเสธที่จะทำสิ่งนั้น เพราะคำ ๆ เดียวว่า "ยาก"
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้... มีแต่ไม่ได้ทำ !!
ความยาก ง่าย ไม่ได้อยู่ที่สิ่งสำผัส เหตุการณ์ หรือการกระทำ เพราะก่อนที่จะเริ่มทำ เขาจะเห็นภาพนั้นจากภายใน โดยภาพ(image)ที่เขาสร้างมันขึ้นมา กระบวนการทำงานทางชีวะจะนำภาพนั้นไปเข้ารหัส จากนั้นจะถูกนำไปเทียบกับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ก่อน(ไม่ว่าจากยุคสมัย หรือ ภพชาติไหน ๆ) ภายใน DNA เป็นลักษณะของภาพเขิงซ้อนสามมิติ(Holographic) ว่าเคยมีสิ่งนี้หรือไม่ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "สัญญาเดิม" หากเคยมีสิ่งนั้นอยู่ คือซ้อนกันสนิท RNA(ไม่ว่าจะเคยทำได้ หรือ ไม่ได้ และ/หรือ ไม่เคยทำ) ก็จะนำพิมพ์เขียวต้นแบบออกมาสร้างสัญญานไฟฟ้าชีวภาค เริ่มกระบวนการให้ส่งสัญญานสั่งการไปยังสมอง ให้ออกมาเป็นความรู้สึก ตอบรับ ปฏิเสธ นี่แหละที่เราเรียกว่า "อารมณ์" ซึ่งมาจากภายใน ที่เรียกว่า "ใจ"
แม้ว่าบางครั้ง สิ่งที่เข้ามากระทบ ให้ได้รับรู้ สัมผัส ในชีวิตของเขาชาตินี้ จะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่เคยเรียนรู้ จากที่กล่าวแล้ว โดย "สัญญาเดิม" จะทำให้เขาเรียนรู้ และสามารถเข้าใจ ทำได้รวดเร็ว เปรียบง่าย ๆ เหมือนเราเคยเรียนวิชานี้มาตอนมัธยม และทิ้งไปแล้ว ลืมไปแล้วเพราะไม่ได้ใช้นาน พอมาเรียนปริญญาเอก เจอเข้าอีกก็คลับคล้ายคลับคลา ทบทวนนิดเดียวก็เข้าใจและทำได้ อย่างรวดเร็ว เพราะเคยเรียนและทำสิ่งนั้นมาก่อน
ทีนี้มาดูกันว่า ทางพระพุทธศาสนา ทะลุมิติ-ข้ามเวลาได้อย่างไร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด แม้แต่ขั้นเริ่มต้น คือการที่เราฝึกสวดมนต์จากใจ(ฝึกให้ปาก กับ ใจ เป็นหนึ่งเดียวกัน) ณ ขณะเวลาที่ปากใจเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น จะเกิดสภาวะหนึ่ง เรียกว่า "อธิจิต" ซึ่งมีอานุภาพมาก อันโยคาวจรต้องพึ่งอาศัยพลังอธิจิตนี้กำจัดขวากหนาม อุปสรรค ทุกข์โทมนัส ภพชาติ ทั้งปวง ตราบเท่าถึงพระนิพพาน ก็ด้วยพลังแห่ง "อธิจิต" นี้
ในชั้นต้น เมื่อ วาจา มีสภาพเป็นปถวีธาตุ(Mass=สสาร) รวมเป็นหนึ่งกับใจ อันมีสภาพเป็นอากาศธาตุ(Plasma) จะเกิดสภาวะแห่ง "อธิจิต" (Anti - matter=ปฏิสสาร) ซึ่งจะเป็นพลังยิ่งยวด ที่สามารถส่งเราไปอยู่ในอีก Dimension หนึ่ง ซึ่งสภาวะดังกล่าว ในทางอภิธรรมเรียกว่า "ภวังค" ที่มีสภาพแตกต่างไปจากมิติที่เราอยู่ในปัจจุบัน (นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดาของผู้ปฏิบัติ ตามหลักแห่งสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค)
"สิ่งใด ไวกว่าใจ เป็นไม่มี" = พระไดรปิฏกบาลี จารึกไว้เกือบ 3000ปี
แค่ในขั้นเริ่มต้นนั้น ก็สามารถกล่าวได้ว่า การทำสมาธิ คือการก้าวข้าม ภพ อันมาจากคำว่า ภว(อ่านว่า ภะวะ) จึงเรียกว่า "ภวนา" คำว่า นา มาจาก "มนัส" แปลว่า "ใจ"
สรุปรวม ปฎิบัติ ภวนา คือการปฏิบัติ "เพื่อให้ใจข้ามภพภูมิ" ได้ ขณะที่ยังไม่ตาย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งพุทธศาสนา ทรงตรัสรับรองไว้ชัดเจนว่า "สิ่งใด ไวกว่าใจ เป็นไม่มี" นั้นหมายความรวมถึงความเร็วแสงด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง จึงเกิดอารมณ์ "เป็นสุข" นั่นเพราะเป็นอารมณ์ จากอีกมิติ(Dimension) หนึ่ง ที่แตกต่างกัน ภาษาทางปฏิบัติธรรมเรียกว่า "ภพภูมิ" แต่อารมณ์นั้นยังคงอยู่ เหมือนออกไปทานข้าวนอกบ้าน อร่อย อิ่ม ความอร่อย และอิ่ม ก็ติดกลับมาด้วย
ดังนั้น การฝึก "สติ"=ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์ คือ ต้องจำให้ได้ จึงสำคัญมาก ถ้าจำอารมณ์ไม่ได้ ก็เหมือนเดินทางไกล ไปไหนไม่รู้แต่หิวข้าวเลยลงไปทานข้าว อร่อยมาก ติดใจ แต่ขึ้นรถขับต่อไป กลับลืมว่า ร้านไหน อยู่ตรงไหน ก็เหมือนการ "ระลึกอารมณ์ไม่ได้=ขาดสติ"
เพราะขาดสติตอนตาย ก็ไปตามเวรตามกรรม ไม่สามารถเลือกภพภูมิเอาเองได้ กำหนดที่เกิด ที่ไปไม่ได้ จึงตกนรก ไง !! (นี่แหละตอนตายโบราณจึงมีคนกล่าวนำ อรหัง ๆ เพื่อให้คนใกล้ตายจะได้ระลึกตรงนี้ เพราะกลัวตกนรก.... แต่ผู้ที่ปฏิบัติชอบ ตามแนวทางสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค พระพุทธองค์ทรงรับรองไว้เลยว่า ปิดทางนรก และเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะไปถึงพระนิพพาน ทางอื่น...ไม่มี)
พวกที่ขาด "สติ" พอเกิดใหม่ ก่อนตาย ขาดสติ ก็ไปตามยถากรรม ตามเฮงตามซวย ทำกินไม่ขึ้น ที่เรียกว่า "สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม" นั่นหมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของ "กรรม" ที่กำหนด นั่นก็คือ "รหัสพันธุกรรม(DNA Code)" ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
แต่ผู้ที่ปฏิบัติชอบ คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ย่อมอยู่เหนือกฏแห่งกรรม สามารถควบคุมบังคับ ให้เฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แสดงผล เมื่อไร ที่ไหน ก็ได้ตามปรารถนา จึงเรียกว่า "อกาลิโก" แปลว่า "ผู้อยู่เหนือกฏเกณฑ์แห่งกาลเวลา"
"กรรม" ต้องอาศัย เวลา=Time และ สถานที่, ภพภูมิ = Space แสดงผล ผู้ที่ปฏิบัติตามพุทธวิถี สามารถควบคุม "ใจ" ซึ่งมีความไวกว่าแสง นั่นหมายถึงย่อมควบคุม "เวลา=Time" ตามหลักของ Physic ได้(ผู้ใดสงสัย สามารถท้าทายพิสูจน์ได้ เสมอ ด้วยประจักษ์พยานบุคคล และทางวิชาการ)
ดังนั้น จึงสามารถควบคุม บังคับกรรมไว้ภายใต้อำนาจของผู้ปฏิบัติได้ ตามปรารถนา นี่คือความแตกต่่างระหว่างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กับ ผลการปฏิบัติเชิงประจักษ์
ในพระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญของ สติ อันมาจากการปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยกาย วาจา ใจ นี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "สติ คือ ธรรมอันมีอุปการะยิ่ง" แม้สุดท้ายก่อนปรินิพพาน ท่านยังย้ำในปัจฉิมโอวาท ถึงความสำคัญของสติ มิให้ประมาทในการระลึกว่า "อปฺมาเทน สมฺปาเทสา สิฯ ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม"
นั่นเพราะ "สติ" คือ ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์(Emotional) เนื่องจากอารมณ์ย่อมทำให้เกิดพฤติกรรม ทั้งทางที่เป็นคุณและโทษ
ในทาง Bio-Physic "อารมณ์" เกิดจากสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro Magneticity) ที่ส่งผ่านจากสมองสู่โมเลกุล เรียกว่า "การสื่อสารทางโมเลกุล"
การมีอำนาจเหนือ "อารมณ์" ก็คือ มีอำนาจควบคุมสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro Magneticity) ที่ส่งผ่านโดยสมอง ซึ่งมีความเร็วกว่าแสง
นั่นก็คือ ผู้ปฏิบัติตามพุทธวิถี สามารถควบคุม ระดับความเร็วที่เหนือแสงได้เป็นปกติ
นี่คือความสำคัญว่า ทำไมต้องมีมีสติทุกลมหายใจเข้าออก ที่ซ่อนอยู่ที่คนทั่วไปเข้าใจคือ สติที่รับอารมณ์ คนที่ตั้งลม(ระงับ อัสสาสะ-ปัสสาสะ)บ่อยบ่อย จนเป็นอัตโนมัติ RNAจะทำงานแบบbypass ลอกรหัสตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปใหม่ ไม่เข้าไปCopyข้อมูลจากDNA ทำให้สามารถกำหนด เหตุการณ์และสถานที่ได้ตามปรารถนา
Kuru Rin Po Chae
สำหรับผู้ฝึกสติ(สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค) เป็นหนทางเดียว ....เอกมคฺโค ที่สามารถเลือกที่ไป ได้เลย ไม่ต้องรอตาย และรู้ด้วยว่า ตายจะไปไหน อยู่ที่ไหน และจะไม่ไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังสามารถไปดูที่เราจะไปอยู่ใหม่ หรือเลือกที่ถูกใจได้ก่อนด้วย อันไหนไม่ถูกใจไม่เอา เหมือนเลือกบ้าน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ "ปัจจัย" (บุญ) หรือทางโลกก็คือเงิน ในอีกมิติหนึ่งนั้นเงินใช้ไม่ได้ ใช้ได้แต่"บุญ" ที่จะแลกมากับที่อยู่ใหม่ จะสวยงามขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราทำบุญไว้มากน้อยแค่ไหน
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ไม่มีบุญใด ยิ่งใหญ่ไปกว่า การถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ในวาระจิตเดียว...แม้ชั่วขณะอึดใจเดียว(ระยะตั้งลม) ก็มีค่ากว่าสร้างเจดีย์ทองคำจากมนุษย์ถึงพรหมโลก
นี่คืออานิสงค์ของการฝึกปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-สติปัฏฐานปฏิสัมภิทามรรค" วิธีอื่นทำไม่ได้ อย่างที่เขียนอยู่นี้ ก็เขียนด้วย "สติ" เอาความรู้มาจากใจ จากการปฏิบัติ เหมือนเราเคยไปกินร้านอร่อย แล้วจำได้ ว่าอยู่ตรงไหน ก็มาบอกคนอื่นให้ไปกินจะได้อร่อยด้วย คนบอกก็ดีใจ เมื่อคนไปกินเขามาว่าอร่อยจริง ๆ ไม่โกหก แต่บางจำพวกไม่เคยไปกิน จำเค้ามาบอก พอถามเข้าว่า ร้านไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือขวา ใบ้ ไปไม่เป็น รู้แต่ชื่อร้าน ยังงี้เยอะ !!
ในการเดินทางทะลุเวลาข้ามมิติ (Time Travel) นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน บอกว่า "มันเป็นเรื่องยากมาก" เพราะยังทำไม่ได้ (แต่ยอมรับว่าเป็นไปได้) ซึ่งหากเราย้อนหลังดูในแนวทางของพระพุทธศาสนา เมื่อเกือบ3000 ปีมาแล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ใช่ทรงตรัสรู้เท่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงเดินทางข้ามมิติ เสด็จขี้นไปเทศโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงสวรรค์
Kuru Rin Po Chae
สวรรค์นั่นน่ะอยู่คนละมิติ(คนละภพภูมิกับมนุษย์) คือไปอยู่มิติอื่นถึง 9,000ปี(ตามเวลามนุษย์ เมื่อเทียบกับเวลาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 100ปีมนุษย์=1วันสวรรค์ ทรงอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ 3 เดือนดาวดึงส์ = 90 วันเทวดา = 90x100=9000 ปีมนุษย์) เพียงแต่เมื่อทรงเสด็จกลับยังโลกมนุษย์พระองค์ได้ทรงย้อนเวลา ให้กลับมาเป็นเวลามนุษย์ปกติ (เพราะตามหลักแห่งฟิสิกส์ เวลาจริงReality Time ไม่มี ตรงกับพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เวลาเป็นสมมุติ นี่แหละที่เรียกว่า "อกาลิโก หมายถึง ไม่อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์แห่งเวลา) ปรากฏดังที่จารึกบันทีกไว้ในพระไตรปิฏก ต่อมาชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปเรียกว่าปาง "พระพุทธเจ้าเปิดโลก" นั่นเอง ส่วนสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาจากดาวดึงส์สวรรค์ นั้นปรากฏหลักฐานทางโบราณคดี อยู่ที่เมืองสังกัสสะ ประเทศอินเดีย ซึ่งได้มีการสร้างวิหารไว้เป็นที่สักการะ สืบเนื่องมานับแต่พุทธกาล
นอกจากพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำปาฏิหารย์ทะลุมิติ(Cross Dimemsion) ข้ามกาลเวลา(time Travel) ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังทรงสั่งสอนถ่ายทอดวิชชาการ และวิธีปฏิบัตินี้ ให้กับพุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติได้เช่นพระองค์ด้วย โดยพระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้า ได้จารึกไว้ปรากฏในพระสุตันตปิฏกชื่อว่า "คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค" ซึ่งจะปฏิบัติควบคู่ไปกับ "สติปัฏฐาน" จึงเรียกว่า "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ที่ทุกท่านผู้ใฝ่ในกุศลได้เรียนรู้ สืบทอดและปฏิบัติอยู่ในขณะนี้
การเดินทางทะลุมิติ หรือท่องเที่ยวไปในจักรวาลอื่น ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดให้พุทธบริษัทนั้นปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนามากมายหลายร้อยรูป ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ได้ท่องจักรวาลไปถึงพรหมโลก (ความต่างแต่ละชั้นของเทวดา จะวัดด้วยระยะแห่งการเดินทางของแสง ซึ่งเป็นตัวกำหนดเวลา ออกมาเป็นค่าของ Spectrum ซึ่งใช้ในการวัดระยะทางในอวกาศ)
ยกตัวอย่างพระโมคคัลลานะ ครั้งปฏิบัติสำเร็จใหม่ ๆ ได้เข้าฌานทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) จนหลงจักรวาล ไปยังจักรวาลของพระโพธิสัตว์ โดย ไปคลานไต่อยู่ปากบาตรพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง(คล้ายมด...คุณคิดว่าในมิตินั้นผู้คนตัวใหญ่ขนาดไหน) พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงหยิบพระโมคคัลลานะขึ้นมาแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน พระโมคคัลลาตอบว่ามาจากโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้หลงกลับไม่ถูก พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงส่งพระโมคคัลลานะกลับโลกมนุษย์ให้ดังเดิม....และเรื่องของพระโมคคัลลานะนี้ ทำให้โลกมนุษย์ได้รู้จักพระโพธิสัตว์รูปนั้น ที่มีนามว่า พระอวโลกิเตศวร ปรากฏในพระไตรปิฏกที่พระนาคารชุน(พระอาจารย์ของพระเจ้ากนิษกะมหาราช ได้จารึกไว้ และถูกค้นพบในถ้ำประเทศอาฟกานิสถาน
1
Kuru Rin Po Chae
แนวทางการปฏิบัติตามพุทธวิถีเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) แทบจะเรียกได้ว่า "เป็นหลักสูตรบังคับ" ของโยคาวจรผู้ที่มุ่งสู่พระนิพพานจะต้องผ่านขั้นตอนนี้ ไม่มีข้อยกเว้น(เหมือนกับหน่วยกิตที่ต้องลง สอบไม่ผ่านไม่จบ นั่นแหละ) ขั้นตอน แนวทางการปฏิบัติเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ ขอกล่าวโดยสังเขป คือ
1. เปลี่ยนสสาร ให้เป็นปฏิสสาร คือการ รวมวาจาใจ เป็นหนึ่ง วาจา เป็นคลื่นที่เกิดจาก Bio-ElectroMagnetricity ส่วน "ใจ" เป็น คลื่น Plasma เป็นลักษณะของ Energy นั่นคือการ แปลงคลื่นชีว ให้เป็น คลื่นPlasma เหมือนการแปลงกระแสไฟ DC เป็น AC จึงต้องระลึกรู้อารมณ์ขณะรวมเป็นหนึ่งนั้นได้ เรียกว่า "สติ" เพื่อให้บังเกิดเป็น "อธิจิต" นี่เรียกผลของการรวมสองสิ่งเป็นหนึ่งเดียว = Energy
2. รวม Energy ที่เกิดจากวาจา-ใจ ให้เป็นหนึ่งนั้น ให้เป็นหนึ่งเดียวกับ กาย ซึ่งมีสภาพเป็นสสาร Mass ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน (เพื่อเปลี่ยนให้มีสภาพเป็นปฏิสสาร = ความเร็วคลื่นเท่ากัน =คนขับรถ อยู่ในรถ จะมีความเร็วเท่ากับรถที่วิ่งไป) รวม Mass กับ Plasma ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ความเร็วของกายเท่ากับใจ (ไม่มีสิ่งใดเร็ว หรือ ไกล เกินกว่าใจจะไปถึง) ในทางปฏิบัติทางพุทฑวิถี เรียกว่า "การควบคุมรูป" คือ เปลี่ยน Mass เป็น Plasma (สสารเมื่อเปลี่ยนเป็นปฏิสสาร ย่อมมีพลังยิ่งยวดไร้ขีดจำกัด) การถึงพร้อมด้วยองค์ 3 คือ กาย วาจา ใจ ก่อให้เกิดปฏิกริยาหนึ่งเรียกว่า Bio-Atomic Fusions ก่อให้เกิด "อธิจิต" คือ จิตที่มีพลังเหนือสิ่งใดทั้งปวง ทาง Quantum Physic เรียกว่า Antimatter = ปฏิสสาร ซึ่งมีพลังยิ่งยวด ตรงกับในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ว่า การสัมปยุตกันแห่งกาย วาจา ใจ ในสภาวะแห่ง อติมหันตารมณ์ ย่อมเป็นมหคตจิต คือจิตมีพลังอันยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นของเสียง(วาจา) ด้วยพลังของ "อธิจิต"ก่อให้เกิดพลังพิเศษอีกชนิดหนึ่งเป็นลูกโซ่เรียกว่า "ปริกมฺมจิต" ซึ่งเป็นภาวะพลังพิเศษ สามารถกำหนดให้สรรพสิ่งเป็นไปตามที่ "วาจากำหนดนั้น"(ที่เราเรียกกันว่า อธิษฐานเป็นจริง หรือ วาจาสิทธิ์ นั่นแหละ) ที่ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของผู้ที่ปฏิบัติ ณ ขณะเวลาที่เกิดการประจวบกัน(สัมปยุต) ของ กาย วาจา ใจ เป็นช่วงขณะของ "อติมหันตารมณ์" เวลาทั้งหลายในทุกมิติ จะหยุดนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน นี้เป็นคำตอบในข้อสงสัยทั้งหลายเกี่ยวกับการปฏิบัติของ "ลัทธิเต๋า" ว่าอายุวัฒนะ คือ อายุยืนไม่มีขีดจำกัด ก็ด้วยอานุภาพพลังของ "อติมหันตารมย์" ซึ่งพระพุทธองค์ทรงใช้ส่วนนี้กำหนดให้เวลาของ มนุษย์ เทวดา พรหมณ์ เป็นเวลาเดียวกัน มองเห็นทะลุถึงกันได้หมด เมื่อตอนเสด็จลงจากดาวดึงสวรรค์ นั้นเอง จะเห็นได้ว่า ข้อมูลในพระไตรปิฏกทุกอักษรถ้อยกระทงความเป็นหนึ่งเดียวกับวิทยาการ Quatum Physic และ กฏแห่งกาล-อวกาศ (Time & Space) ของไอน์สไตน์ อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งที่ต่างกันเกือบ 3000ปี
3. ฝึก-กำหนดระยะทางของแต่ละจักวาล ที่มีความใกล้ไกลต่างกัน โดยการควบคุมระดับของSpectrum เรียกว่า วณฺณกสิณ (กสิณ = เครื่องยังให้เกิดแสงสว่าง)การควบคุมนี้ในทางปฏิบัติเรียกว่า "คุมนาม"
4. ฝึกสลายมวล(Mass+Plasma to Energy) และสัมปยุตมวล คือ ทำให้มวลที่สลายนั้นกลับคืนสภาพมาเป็นดังเดิม ทางPhysic เรียกว่า Transformation(เราจะพบเจอในภาพยนต์Sci-Fi บ่อย ที่เป็นเครื่องส่งคนไปอีกสถานที่หนึ่งนั่นแหละ) ในทางพระพุทธศาสนาลักษณะผลการปฏิบัติที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า "ติโลกภาพ" ตอนแรกจะฝึกเดินทะลุกำแพง แทรกแผ่นดินก่อนในโลกมนุษย์ก่อน ทำได้แล้ว ผ่านแล้ว ชำนาญแล้วจึงจะข้ามมิติ และ ภพภูมิ ไปยังมิติต่าง ๆ (Time Travel) ตามปรารถนาได้ ...ดังปรากฏจารจารึกเป็นหลักฐานในพระไตรปิฏกบาลีมาเกือบ 3000 ปีแล้ว ในทางวิทยาศาสตร์-อวกาศ ยอมรับว่าเป็นไปได้ ...แต่ยังทำไม่ได้ !!!!
Kuru Rin Po Chae
การไปสู่โลกอนาคต ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "อนาคตังสญาณ" การย้อนเวลาสู่อดีตเรียกว่า "อตีตังสญาณ" ซึ่งที่กล่าวมานี้ เป็นบทเรียน หรือหน่วยกิต ที่โยคาวจรในพระพุทธศาสนา อันมีเป้าหมายมุ่งสู่พระนิพพาน จะต้องผ่าน และต้องทำให้ได้อีกด้วย (รายละเอียด การปฏิบัติโปรดศึกษาในพระสุตันตปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ในเชิงเปรียบเทียบว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์Quantum Phisic ของพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าล้ำยุคกว่าในปัจจุบันมากมายหลายล้านเท่า จนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ ที่สำคัญ การที่จะทะลุเวลา-ผ่ามิติไปได้นั้น จะมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะไปได้คือ
มโนทวารวิถี แปลว่า ไปด้วยหนทางแห่งใจ ดังที่กล่าวข้างต้น แม้การบังคับเหตุการณ์ในอนาคต หรือ กำหนด สมมุติสรรพสิ่งที่เหนือธรรมชาติให้เกิดขึ้น ก็ล้วนมาจากอำนาจสมาธิอันเกิดจากใจทั้งสิ้น
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า "สิ่งทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ" ฉะนี้ ฯ
และ นับเป็นเรื่องของความโชคดีชนิดบรมโชค ที่สาธุชนอย่างพวกเราเกิดมาเป็นชนชาติไทย มี DNA ที่บรรพบุรุษไทย อันมีใจใฝ่กุศลปฏิบัติ ได้ฝังข้อมูลพันธุกรรมให้แก่พวกเราไว้ เมื่อเราได้ศึกษา ฟังธรรม และปฏิบัติ ก็สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ สิ่งไหนหลอกลวง เพราะRNA จะเอาสัญญานไฟฟ้า(อายตนะภายนอก) ส่งเข้าไปค้นข้อมูลใน DNA ยังไงก็เจอ เพราะบรรพบุรุษไทยเราได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว และไม่มีคำว่า "ยาก" สำหรับผู้ปฏิบัติชอบ โดยสิ้นเชิง ชนิดปราศจากข้อสงสัย
ค้นคว้า ศึกษาข้อมูล Crack the RNA Code สมบูรณ์ที่
https://www.blockdit.com/articles/5d733e7b2de3e80cbec04267
6 บันทึก
17
7
6
6
17
7
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย