9 ก.ย. 2019 เวลา 10:09 • ธุรกิจ
ประวัติ Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร
Jan Koum เด็กน้อยชาวยิว เกิดในปี 1976 ที่เมือง Kiev เหมืองหลวงของประเทศ ยูเครน โดยแม่ของเขานั้น รับทำงานเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อของเขาเป็นผู้จัดการใน Site งานก่อสร้าง ต้องบอกว่าเป็นชีวิตที่ลำบากตั้งแต่วัยเยาว์ สำหรับ Jan Koum เนื่องจากประเทศยูเครนในขณะนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
ประวัติ Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร
Koum ได้เคยบรรยายเกี่ยวกับสภาพการใช้ชีวิตของเขาในวัยเด็ก โรงเรียนที่เขาเรียนตอนเด็กนั้น ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำจะใช้ แถมอากาศของประเทศยูเครน ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุดที่หนึ่งของโลก บ้านของเขาแทบจะไม่มีไฟฟ้าใช้ และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถอาบน้ำอุ่น ๆ ผ่านเครื่องทำน้ำอุ่นได้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ
หนีตายสู่ประเทศอเมริกา
และแน่นอนว่าด้วยสงครามที่มีความวุ่นวายในยูเครนในขณะนั้น ทำให้ครอบครัวของเขาต้องอพยพ ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ ณ เมืองเมาน์เทนวิว ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในตอนแรกนั้นพ่อของเขาไม่ได้ตามมาด้วย มีเพียงแค่เขากับแม่ของเขาเท่านั้น ที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ประเทศอเมริกา
แต่เหมือนโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขาอีกครั้ง เพราะหลังจากย้ายมาอยู่อเมริกาไม่นาน แม่ของเขาก็ตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งและไม่สามารถออกไปทำงานได้ ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น
ชีวิตของ Koum จึงต้องพึ่งสวัสดิการของรัฐ และ แสตมป์อาหาร ที่รัฐบาลแจกให้กับคนยากจน เพื่อมาประทังชีวิตไปวัน ๆ ให้ได้ และเพียงไม่นานหลังจากที่แม่เขาต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง ก็เสียชีวิตลงในปี 2000 ขณะที่พ่อของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1997 แล้ว คงเหลือเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในประเทศอเมริกาเพียงคนเดียวเท่านั้น
1
เปลี่ยนความยากจนให้เป็นแรงผลักดันชีวิต
ความยากจน คือ สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่ม Koum ในวัย 18 ปี ที่เพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตในอเมริกา ได้มีโอกาสศึกษาเรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ซึ่งเขาเรียนรู้จากหนังสือคู่มือที่ซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง
วัย 19 ปี Koum ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแซน โฮเซ (San Jose University) ในขณะที่ตอนกลางคืนทำงานให้กับบริษัท Ernst & Young ตำแหน่ง Security Tester
โดยในปี 1997 เมื่อเขาอายุได้ 21 ปี Brian Acton ได้ชักชวนให้เขามาทำงานที่ Yahoo! ในตำแหน่ง Infrastructure Engineer
หลังจากได้งานที่ Yahoo! เพียง 2 อาทิตย์ มี Server ตัวหนึ่งของเว๊บไซต์ Yahoo เสีย David Filo หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo! ได้โทรตามตัว Koum ให้มาช่วยดู Server ตัวนั้น ซึ่งเขาตอบกลับไปว่ากำลังเรียนอยู่
Koum และ Acton ที่ก่อนจะกลายมาเป็นคู่หูสร้าง WhatsApp
แต่ Filo ซึ่งเป็นเจ้านายไม่สนใจ บังคับให้เขารีบมาที่ออฟฟิศโดยด่วน ซึ่งเหตุการณ์นี้นี่เองที่ทำให้ Koum ได้ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อทำงานที่ Yahoo! แบบเต็มเวลา ซึ่งเขาก็ทำงานที่นี่ได้ 9 ปี จนเขาตัดสินใจลาออกในปี 2007
ก่อกำเนิด WhatsApp โปรแกรม Messenger ที่ใช้งานฟรี!
หลังจากออกจาก Yahoo และได้พักผ่อนไม่ได้ทำงานเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาในปี 2009 พวกเค้าทั้งสองคนก็เกิดอยากทำงานอีกครั้งจึงไปสมัครงานที่ Facebook แต่ Facebook ไม่รับพวกเค้าเข้าทำงานอย่างไร้เยื่อใย
ในปี 2009 นั้นเอง Brian Acton และ Jan Koum ได้ซื้อ iPhone มาใช้ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พวกเค้าเกิดไอเดียขึ้นมาทันทีว่า iPhone ที่มีระบบ App Store นี่แหละที่จะเป็นตัวเปลี่ยนอุตสาหกรรมซอฟแวร์ และ iPhone นี่แหละที่น่าจะต้องการใช้ระบบอะไรสักอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเค้าติดต่อกับผู้ที่ใช้ BlackBerry ได้ พวกเค้าใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานและชื่อ WhatsApp ก็เกิดขึ้นโดน Jan Koum นี่แหละที่เป็นผู้เลือกชื่อ เพราะมันฟังดูเหมือน What’s Up ดี
WhatsApp จึงถูกจดทะเบียนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ในปี 2009 และถูกปล่อยครั้งให้ใช้ครั้งแรกในเดือน พฤษภาคม ปีเดียวกันนั่นเอง แต่ก็ยังพบข้อผิดพลาดอยู่เยอะมาก ซึ่งเขาได้ให้พวกเพื่อน ๆ ของเขาช่วยกันทดสอบและหาข้อผิดพลาดของระบบให้มากที่สุด
และจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งนึงก็คือ ในปีนั้น Apple ได้ปล่อยฟีเจอร์ Push Notification ทำให้ WhatsApp ได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์นี้ไปเต็ม ๆ และเขายังพบว่าผู้ใช้บริการ WhatsApp ส่วนใหญ่นั้น จะใช้มันเหมือนเป็นแอพแชทมากกว่า
Push Notification ที่ Apple ได้ปล่อยออกมานั้นดูจะเข้าทาง Whatsapp เสียเหลือเกิน
ต้องบอกว่าในขณะนั้นบริการส่งข้อความฟรี มีเพียงแค่ BBM เท่านั้น ซึ่งจำกัดแค่สำหรับผู้ใช้งาน BlackBerry (BB) ด้วยกันเอง แม้จะมี G-Talk ของ Google และ Skype ที่ถูก Microsoft ซื้อมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ WhatsApp นั้นแตกต่าง เพราะใช้เพียงแค่เบอร์โทรศัพท์ในการ Login ซึ่งความแตกต่างนี้มาจากการตระหนักเรื่อง Privacy ในวัยเด็ก ทำให้ WhatsApp ไม่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้เลยในช่วงแรกของการพัฒนา ทำให้ผู้ใช้มั่นใจที่จะใช้ WhatsApp เป็นอย่างมาก แตกต่างจากบริการอื่น ๆ ที่มุ่งเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อไปหาเงินอีกทางหนึ่ง
1
ดังนั้นพวกเขาจึงรีบพัฒนา Features ต่อทันทีและเมื่อ WhatsApp 2.0 ที่รองรับการแชทถูกปล่อยออกมา ปรากฏว่าได้มีผู้ใช้งานเข้ามาอย่างถล่มทลายถึง 250,000 คน เขาจึงชักชวนให้ Acton มาช่วยกันพัฒนาและทำให้มันกลายเป็นธุรกิจที่จริงจังเสียที
No Ads, No Games , No Gimmicks
ต้นปี 2011 WhatsApp ติดอันดับ Top 20 ใน App Store ของอเมริกา และสองหนุ่มเริ่มมองหาเงินทุนสำหรับการเติบโต มีนักลงทุนหลายรายให้ความสนใจ โดยเหล่านักลงทุนก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ WhatsApp ใช้โฆษณาเป็น Business Model ซึ่งสองผู้ก่อตั้งปฏิเสธ เพราะเกลียดโฆษณา ดังนั้นที่โต๊ะทำงานของ Koum จึงมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะไว้ว่า No Ads! No Games! No Gimmicks! นั่นเอง
No Ads , No Games , No Gimmicks concept หลักของ Whatsapp
ถูก Facebook ซื้อไปมูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญ!!!
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 WhatsApp มีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 200 ล้านคน มีพนักงาน 50 คน และมีการระดมทุนเพิ่มจาก Sequoia บริษัทด้านการลงทุนชื่อดังใน Silicon Valley จำนวน 50 ล้านเหรียญ ทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงขึ้นกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ
และในเดือน ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเองที่ WhatsApp เติบโตจนมีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 450 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งเร็วกว่าบริการ Social Network ทุกตัวในตอนนั้น ซึ่งจำนวนผู้ใช้ที่มหาศาลก็ไปเข้าตา Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook จนขอเข้าซื้อกิจการในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2014 ด้วยเงินจำนวน 1.6 หมื่นล้านเหรียญ พร้อมหุ้นประเภทจำกัดสิทธิ์อีก 3 พันล้านเหรียญ ทำให้ Koum และ Acton กลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ทันทีจากการถือหุ้น 45% และ 20% นั่นเอง
1
ซึ่งเมื่อเรามามองถึงอัตราการเติบโตของ users ของ WhatsApp ก็ค่อนข้างน่าตกใจว่า 4 ปีแรกนั้น whatsapp นั้นสร้างฐานการเติบโตของ User ได้ดีกว่าเจ้าของใหม่อย่าง (facebook) เสียอีกซึ่งถือว่าดีสุดในบรรดา social network ต่าง ๆ ที่มีมาในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้
1
ซึ่งตัวเลขพวกนี้คงเป็นตัวเลขที่สำคัญที่ทำให้ facebook นั้นได้ทุ่มทุนขนาดนี้แล้วค่อยมาหารูปแบบ business model ในภายหลังซึ่งก็เหมือนกับที่ google ทุ่มทุนซื้อ youtube ในอดีตตอนนั้นกว่า 1.6 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือว่ามากในขณะนั้น
1
แต่ตอนนี้คนก็คงไม่ต้องสงสัยกันแล้ว google มองเกมส์ขาดมากในตอนนั้นที่รีบซื้อ youtube เข้ามา ซึ่งถ้าตีมูลค่าตอนนี้ youtube นี่คงทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งหากวิเคราะห์จริง ๆ เราก็พอมองเห็นในอนาคตว่า บริษัทด้านซอฟแวร์ ที่เน้นไปที่การเก็บข้อมูล User Data จะมีมูลค้าที่สูงกว่า hardware ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะเป็นผู้ takeover กิจการของบริษัท hardware ทั้งหลายแทน โดยเฉพาะเหล่าบริษัทที่มี data ข้อมูลผู้ใช้งานซึ่งตีมูลค่าได้มหาศาลนั่นเองครับ
ช่องทางติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา