10 ก.ย. 2019 เวลา 04:50
ถึงแม้ปัจจุบันเราจะมีสุขภัณฑ์ให้เลือกใช้มากมาย ทั้งแบบนั่งยอง นั่งธรรมดา แบบราดเอง แบบอัจฉริยะ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะมีสุขภัณฑ์สวยหรูนั่งสบายอย่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ผู้คนในสมัยก่อนเขาปลดทุกข์กันลำบากแค่ไหนกันนะ
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บทความ ประวัติศาสตร์แห่งการปลดทุกข์ของมนุษยชาติ ตอนจบครับ
ส้วมที่มีระบบ flush น้ำในแบบที่เราใช้อยู่ในยุคปัจจุบันนั้น จริงๆแล้วเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายของศตวรรษที่ 16 แล้วครับ โดยผู้คิดค้นระบบ flush น้ำคนแรกคือ Sir John Harington ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของ Queen Elizabeth ที่ 1 แห่งอังกฤษ
โดยในปี 1584-1591 ระหว่างที่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมือง Kelston นั้น Sir John ได้ประดิษฐ์ส้วมที่มีระบบ flush ขึ้นมาใช้ในคฤหาสน์ของเขา และตั้งชื่อสิ่งประดิษฐ์นี้ว่า Ajax (คำว่า Jake เป็นคำแสลงที่คนอังกฤษในสมัยก่อนใช้เรียกห้องน้ำ)
แต่หน้าตาของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ยังไม่ใช่ส้วมที่เราเห็นกันแบบในปัจจุบันนะครับ ลักษณะจะเป็นเหมือนกับอ่างที่อยู่บนพื้น แต่แทนที่จะปล่อยให้อุจจาระไหลลงไปตามท่อเฉยๆ เขาได้ติดตั้งท่อจากแทงค์น้ำมาที่อ่างรับอุจจาระซึ่งใช้หนังสัตว์เป็นวาล์วปิด เมื่อโยกคันโยกน้ำจะไหลเข้ามาในอ่างเพื่อชะล้างอุจจาระและคราบสกปรกต่างๆลงสู่แม่น้ำด้านล่าง
Sir John ได้นำเสนอสิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับ Queen Elizabeth ที่ 1 ซึ่งหลังจากได้ทรงลองใช้พระองค์ก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก และทรงรับสั่งให้ติดตั้ง Ajax นี้ที่พระราชวังของพระองค์ที่เมือง Richmond ด้วยครับ
แต่ถึงกระนั้น สิ่งประดิษฐ์นี้ก็ยังไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากผู้คนยังคงชอบใช้ chamber pot แล้วโยนออกไปนอกหน้าต่างมากกว่า (ก็มันสะดวกสบายกว่ากว่านี่หน่า)
รูปของ Sir JohnHarington และสิ่งประดิษฐ์ Ajax
หลังจาก Ajax ของ Sir John Harington ถูกเพิกเฉยเป็นเวลาเกือบ 200 ปี Alexander Cumming ช่างทำนาฬิกาชาว Scotland ได้นำสิ่งประดิษฐ์นี้มาปรับปรุงโดยการเพิ่มท่อรูปตัว S เข้าไปตรงท่อน้ำทิ้งของส้วม เพื่อดักไม่ให้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ย้อนกลับขึ้นมาจากท่อ และได้จดสิทธิบัตรระบบส้วมแบบ flush ในปี 1775 จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของส้วมระบบ flush ในยุคปัจจุบันครับ
รูป Alexander Cumming และสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร
แต่บุคคลที่ต้องยกให้เป็นผู้ที่ทำให้ระบบสุขภัณฑ์แบบ flush นี้พัฒนาก้าวหน้า คงต้องยกให้กับ Thomas Crapper ครับ
Thomas เป็นช่างประปาผู้นำระบบ S-bend trap ของ Alexander Cumming มาปรับให้เป็นระบบ plumbing trap (U-bend) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ไหลย้อนกลับในขณะที่ของเสียสามารถไหลผ่านลงไปได้
และยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Thomas Crapper & Co ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสุขภัณฑ์แรกของโลกที่มี Showroom ห้องน้ำเป็นของตนเองอีกด้วย(ตั้งอยู่ที่ถนน King’s Road)
รูปของ Thomas Crapper และผลิตภัณฑ์ของบริษัทของเขา
และในช่วงปี 1880s Thomas ได้รับคำสั่งจาก เจ้าชาย Edward (พระเจ้า Edward ที่ 7) พระองค์ทรงต้องการที่จะซื้อสุขภัณฑ์จากบริษัทของเขาและให้นำไปติดตั้งที่พระราชวังในเมือง Norfolk ภายหลังนั้นการทำงานนี้ Thomas ได้รับพระราชทานการรับรองจากราชวงศ์ของอังกฤษ (Royal Warrant.) เพื่อยืนยันคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของเขาเลยทีเดียวครับ
จริงๆคำว่า Crap ที่แปลว่าอุจจาระที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็มีที่มาจากนามสกุลของ Thomas นี่แหละครับ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอเมริกันที่ไปประจำการที่อังกฤษได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท Thomas Crapper & Co ซึ่งมีชื่อบริษัทติดอยู่ ในยุคนั้นคงยังไม่รู้จะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าอะไร จึงมีคำพูดที่ใช้กันในค่ายเวลาที่จะไปทำธุระส่วนตัวว่า "I'm going to the crapper" ภายหลังจึงกร่อนลงมาเหลือแค่ crap คำเดียว (ถือว่าตั้งชื่อเป็นเกียรติได้ไหมครับเนี่ย...)
และหากลองสืบค้นย้อนไป จะพบว่าคำว่า crap ในภาษาดัตช์โบราณ (เขียนว่า krappe) จะมีความหมายว่า “ปลาที่น่าเกลียดและกินไม่ได้” เช่นกันครับ
มาถึงปัจจุบัน นอกจาก design ที่หลากหลายของสุขภัณฑ์ที่มีให้เราเลือกมากมายตามท้องตลาด สุขภัณฑ์ทุกวันนี้ยังแฝงไปด้วยเทคโนโลยีมากมายเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ใช้
จากแผ่นหินเจาะรูสำหรับนั่งในอียิปต์ ผ่านช่วงเวลายาวนานหลายพันปีกลายมาเป็นสุขภัณฑ์อันสุขสบายที่มีแม้กระทั่งระบบอุ่นฝารองนั่งให้อุณหภูมิเหมาะสมกับก้นของเรา
จากที่ต้องใช้ไม้ผูกฟองน้ำเช็ดทำความสะอาดก้น ทุกวันนี้เรามีหุ่นยนต์ช่วยฉีดน้ำชำระล้างก้นให้เราโดยไม่ต้องล้วงลงไปให้มือเปื้อนเลย
และนี่ก็เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของนวัตกรรมที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้มาก่อนที่ซ่อนอยู่ภายในส้วมครับ
สุขภัณฑ์ KOHLER Numi+
ทุกวันนี้ เราไม่จำเป็นต้องหากระดาษทิชชู่มาเพื่อจับฝารองนั่งที่ปิดอยู่และคอยลุ้นว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ในโถอีกแล้ว เพราะเพียงแค่เราเดินเข้ามาใกล้ ฝาปิดสุขภัณฑ์ก็จะเปิดขึ้นเองอัตโนมัติ แถมยังมีเสียงเพลงให้ฟังเพลินๆระหว่างทำธุระด้วย
นอกจากนี้เจ้าฝารองนั่งอัจฉริยะนี้ยังสามารถปรับอุณหภูมิของตัวมันเองให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานได้อีกด้วย เลือกได้ทั้งสูง กลาง ต่ำ
สำหรับประเทศที่อากาศร้อนอย่างประเทศไทย อาจจะดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ลองนึกว่าถ้าเราอยู่ในฤดูหนาวของประเทศที่มีหิมะตก แล้วต้องนั่งปลดทุกข์บนฝารองนั่งที่อุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียสดูสิครับ...
WASHLET Technology ของสุขภัณฑ์ TOTO
และเจ้าหัวฉีดอัจฉริยะนี้คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะเป็นดาวเด่นของระบบสุขภัณฑ์อัจฉริยะเลยก็ว่าได้ มันทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปอย่างมาก เราไม่จำเป็นต้องเอามือล้วงลงไปล้างให้เปื้อนอีกแล้ว เพียงแค่กดปุ่มเดียว ระบบก็จะยิงน้ำเป็นสายตรงไปจัดการคราบอุจจาระตรงจุดทันที
ต้องขอบอกเลยว่าพลังการทำลายล้างสูงมากนะครับ ถ้าใครไม่เคยลอง แนะนำที่ Terminal 21 อโศกเลยครับ รับรองว่าสะอาดถึงใจเลย
ถึงแม้ในอดีต มนุษยชาติจะต้องทนทุกข์กับทั้งกลิ่น ความสกปรก และเชื้อโรคมากมายจากสิ่งที่มนุษย์เราเองปล่อยออกมาอย่างอุจจาระหรือปัสสาวะของเราเอง
แต่ความน่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์คือ
ไม่ว่าอุปสรรคหรือปัญหาจะยิ่งใหญ่หรือยาวนานแค่ไหนก็ตาม มนุษย์เราสามารถหาทางแก้ไขและอยู่ร่วมกับมันได้เสมอ เราก้าวผ่านโรคร้าย สงคราม และภัยพิบัติมากมาย ผ่านช่วงเวลาและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ เรื่องราวสุขภัณฑ์นี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความมหัศจรรย์ของมนุษยชาติครับ...
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่รับชมและอ่านบทความของ ตามฝัน จนจบครับ แล้วพบกันในบทความหน้าครับ
ขอบคุณพื้นที่และโอกาสดีๆที่ให้ได้เขียนจาก blockdit ครับ 😄
สำหรับท่านใดที่ต้องการอ่านบทความประวัติศาสตร์แห่งการปลดทุกข์ของมนุษยชาติ ตอนที่ 1 สามารถอ่านได้ที่นี่เลยครับ
โฆษณา