Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ย่อยประวัติ
•
ติดตาม
12 ก.ย. 2019 เวลา 11:36 • ประวัติศาสตร์
มาซามุเนะ ตำนานดาบคุณธรรมประจำแผ่นดินญี่ปุ่น
จากรีเควสของแฟนเพจที่อยากทราบตำนานของดาบ มาซามุเนะ x มุรามาสะ วันนี้ขอเสนอเป็น ep.1 นะครับ
ดาบซามูไรญี่ปุ่นนั้น นอกจากจะใช้เป็นอาวุธประหัตประหารข้าศึกในสงครามแล้ว ในยามที่บ้านเมืองสงบและพวกมันถูกวางไว้บนชั้น ดาบซามูไรยังถือเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณบูชิโด เครื่องหมายแห่งความพยายาม และความสง่างามของชนชั้นนักรบ
การตีดาบซามูไรในสมัยโบราณถือเป็นพิธีกรรมที่มีความศักดิสิทธิ์มากครับ กว่าจะได้ดาบซามูไรออกมาสักเล่มช่างตีดาบต้องทุ่มเทสุดชีวิต เพราะดาบก็คือชีวิตของซามูไรเช่นกัน
วันนี้เรามาย่อยประวัติของช่างตีดาบที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โกโร่ มาซามุเนะ กันครับ
โกโร่ นิวโด มาซามุเนะ เกิดในปี ค.ศ. 1264 ในครอบครัวชนชั้นกลางของญี่ปุ่น เมื่อเติบโตขึ้นมาซามุเนะได้เข้าเรียนวิชาตีดาบกับท่านอาจารย์ ชินโตโกะ คุนิมิตสึ และออกมาเปิดสำนักตีดาบของตนเองในจังหวัด ซากามิ
บันทึกทางประวัติศาสตร์เล่าว่า โกโร่ มาซามุเนะนั้นเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดี ใฝ่รู้ชอบทดลองอะไรใหม่ๆในการทำงาน และยังเป็นคนที่สอนเก่ง ทำให้หลังจากเปิดสำนักก็มีคนมาสมัครเป็นศิษย์มากมาย ไม่นานเขาก็ขึ้นแท่นเป็นปรมาจารย์ของการตีดาบ
สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังไปทั่วแผ่นดินนั่นก็คือผลงานของเขา ดาบมาซามุเนะ ได้ชื่อว่าเป็นดาบที่ดีที่สุดในยุคนั้น ด้วยวิธีการตีที่พิถีพิถัน และเทคนิคใหม่ๆที่มาซามุเนะชอบทดลอง ทำให้เขาได้รับรีเควสจากคนใหญ่คนโตอยู่เป็นประจำ
แต่เขาไม่ได้รับตีง่ายๆนะครับ มาซามุเนะไม่ได้ตีดาบเพื่อชื่อเสียงหรือเงินทอง แต่เขามองว่ามันคืองานศิลปะ ถ้ามาซามุเนะตีดาบให้ใคร นั่นแปลว่าเขาห่วงใยและมีความปราถนาดีกับคนนั้นจริงๆ
กรรมวิธีการตีดาบของมาซามุเนะจะเริ่มจากการนุ่งขาวถือศีล ทำจิตให้สงบก่อนเริ่มงาน ลากยาวไปจนกว่าจะตีดาบเสร็จ ไม่พูดไม่เจอกับคนภายนอก อยู่แต่ในสำนักกับลูกศิษย์
ขั้นตอนการเตรียมเหล็กมาซามุเนะจะให้ลูกศิษย์ก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้นในเตาดินเผา และทิ้งไว้ให้ไฟลุกโชนถึง 5 วันจนความร้อนได้ที่ เขาจะใส่แร่เหล็กชื่อว่า เซตเทตสึ ที่มีต้นกำเนิดจากทรายสีดำลงไป พร้อมกับแร่ธาติอื่นๆ
ภายในเตาที่มีความร้อนสูงถึง 1500 เซลเซียส โมเลกุลแร่เหล็กเซนเทตสึจะถูกผสมเข้ากับถ่าน เกิดเป็นก้อนเหล็กกล้าสีดำที่มีค่าคาร์บอนสูงเรียกว่า ทามาฮากาเนะ
1
ด้วยความที่เขาใช้อุณหภูมิสูงมากๆในการหลอมทำให้ก้อนเหล็กที่ได้มานั้นมีความบริสุทธิ์และไม่สิ่งสกปรกเจือปน แต่นั่นก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะเวลาเอาไปตีจนเสร็จมันจะเปราะมาก เอาไปใช้งานจริงในสนามรบโอกาสหักมีสูง
1
มาซามุเนะจึงแก้โดยใส่แร่เจือปนลงไปนิดหน่อยและตีเหล็กกล้ากับเหล็กอ่อนผสมกัน โดยใช้วิธีพับเหล็กเป็นทบแล้วตีจนแบน แล้วพับแล้วตี วนไปเรื่อยๆนับพันครั้ง วิธีการนี้ก่อให้เกิดชั้นเนื้อของเหล็กที่แข็งแรงแต่ก็มีความยืดหยุ่น เขาพัฒนาเทคนิคนี้จนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
1
ดาบมาซามุเนะทุกเล่มจึงมีความสวยงามเตะตา หากชักออกมาเมื่อไหร่ผู้คนบอกได้ทันทีว่านี่คืองานของท่านอาจารย์ มาซามุเนะนิยมตีดาบให้ยาวกว่าปกติ เผื่อทีซามูไรจะได้ใช้งานบนหลังม้าได้ด้วย มีน้ำหนักเบา ไม่เปลืองแรงในการกวัดแกว่ง และที่สวยงามที่สุดคือลายน้ำบนใบมีด หรือที่เรียกว่า ฮาม่อน ครับ
1
การที่มาซามุเนะนั้นตั้งใจตีดาบทุกเล่มของเขามากๆ ทำให้จิตวิญญาณของเขานั้นซึมเข้าไปในตัวดาบแบบเต็มๆ เขาเป็นคนจิตใจดี สุขุม นั่นทำให้ผู้ครองดาบของมาซามุเนะกลายเป็นคนใจเย็น และมักใช้ชีวิตตั้งอยู่ในความสงบ ต่างจากดาบในตำนานอีกเล่มหนึ่งคือ มุรามาสะ
มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งมาซามุเนะได้ถูกท้าทายจากมุรามาสะลูกศิษย์ของเขาเองให้ตีดาบแข่งกัน แล้ววัดกันไปเลยว่าใครจะเป็นนักตีดาบที่เก่งที่สุด หลังจากที่ทั้งสองตีดาบกันอย่างสุดชีวิตจนเสร็จ ก็ได้เวลาทดสอบ
ปกติแล้วเมื่อก่อนเขาจะทดสอบดาบกันด้วยการฟันศพมนุษย์ครับ แต่รอบนี้มาแปลก ทั้งสองตกลงจะตัดสินด้วยการเอาดาบไปผูกกับกิ่งไม้ห้อยไว้กลางลำธารเล็กๆที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ
1
มุรามาสะเริ่มก่อน ดาบของเขาตัดทุกอย่างที่ไหลผ่าน ขอนไม้ ใบไม้ และปลา ทุกอย่างที่สัมผัสกับดาบอันคมกริบของมุรามาสะ ขาดเป็นสองท่อนทั้งสิ้น
เมื่อมาซามุเนะนำไปแขวนกับกิ่งไม้บ้าง ดาบของเขาตัดท่อนไม้ ตัดใบไม้ใบหญ้า แต่เมื่อปลาว่ายน้ำมาโดน กลับไม่เป็นอันตรายแม้แต่รอยขีดข่วน
มุรามาสะได้ทีกล่าวยกตนว่า ดาบของเขาคือที่หนึ่งในปฐพีและไม่มีอะไรที่ตัดไม่ขาด ขณะเดียวกันก็ล้อเลียนอาจารย์ของเขาว่า "ดูดาบของท่านอาจารย์สิ แม้แต่ปลายังฟันไม่เข้าเลย"
พระรูปหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาและกล่าวกับทั้งสองท่านว่า
"ดาบของท่านมุรามาสะเป็นดาบที่มีความคมเป็นเลิศ ถือเป็นงานดาบที่ยอดเยี่ยมแต่ว่า...
จิตสังหารที่มีในตัวดาบของท่านนั้นมันช่างอำมหิต และพร้อมปลิดชีวิตผู้คนอย่างไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใด มันมีพลังของความชั่วร้ายมากเกินไป
ในขณะที่ดาบของท่านมาซามุเนะนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น และสงวนไว้ซึ่งชีวิตของผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยอาณุภาพ อาตมาจึงขอเลือกดาบของท่านมาซามุเนะให้เป็นที่สุดของแผ่นดิน"
ตลอดชีวิตคาดว่าดาบที่มาซามุเนะตีเองกับมือนั้นมีอยู่น้อยมาก จำนวนแค่หลักสิบ และเล่มที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ Honjo Masamune ซึ่งชื่อดาบนั้นจะตั้งตามชื่อของผู้ถือครองคือ Honjo ตามด้วยชื่อ Masamune ครับ
ดาบฮอนโจมาซามุเนะนั้น ตามตำนานกล่าวไว้ว่าแม่ทัพที่ชื่อ ฮอนโจ ชิเงนางะ ได้นำกองทัพเข้าร่วมรบในเมือง คาวานะคาจิมะ ปี ค.ศ. 1561
ในสงครามเขาได้ต่อสู้ตัวต่อต่อกับแม่ทัพของอีกฝ่ายและพลาดท่าถูกฟันกลางแสกหน้าจนหมวกขาดเป็นสองท่อน แต่คมดาบนั้นไม่ทำอันตรายกับฮอนโจ ทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ แต่ก็เป็นฮอนโจที่ตั้งสติได้ก่อน ชักดาบสั้นหรือที่เรียกว่า วากิซาชิ ออกมาแทงศัตรูจนตาย และยึดดาบมาเป็นของตนตามธรรมเนียม
ดาบตกอยู่ในการครอบครองของฮอนโจจนกระทั่งในปี 1592 เขาก็ถูกส่งไปประจำที่ ปราสาทฟูชิมิ ของตระกูล โทโยโทมิ
ฮอนโจถูกโชกุนบังคับให้ขายดาบของเขาแก่ตระกูลโทโยโทมิ ต่อมาก็ถูกเปลี่ยนมือในหมู่ขุนพลดังๆหลายต่อหลายคนในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และกลายเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลโตคุงาวะ จนกระทั่งมาตกอยู่ในมือของ โตคุงาวะ อิเอมาสะ
อิเอมาสะผู้มีชีวิตอยู่ในยุคที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นคนสุดท้ายของตระกูลที่ได้ถือครองดาบตำนานเล่มนี้ เพราะสหรัฐอเมริกามีคำสั่งต่อญี่ปุ่นให้ส่งมอบอาวุธทุกอย่างรวมถึงดาบซามูไรให้กับอเมริกา
อิเอมาสะจึงจำยอมมอบคอลเลคชั่นดาบซามูไรประจำตระกูลโตคุงาวะ 14 เล่ม ที่ถือเป็นจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นทั้งชาติ และประวัติศาสตร์นับร้อยปี ให้กับทางการสหรัฐทั้งน้ำตาในเดือน ธันวาคม 1945
พิธีการส่งมอบมีขึ้นที่สถานีตำรวจเมจิโระ และมีคนเซ็นต์รับมอบชื่อ จ่า Coldy Bimore แห่งกองทัพบกสหรัฐประจำภูมิภาคแปซิฟิก
และนั่น คือครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเห็นดาบ ฮอนโจ มาซามุเนะ
ผู้เขียนนั่งเขียนไปยังเศร้าแทนเลยครับ ที่สมบัติล้ำค่าของชนชาติญี่ปุ่นนั้นหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย จนทุกวันนี้ก็ยังมีการตามหากันอยู่นะ
1
จบแล้วครับบ ตำนานดาบมาซามุเนะ เดี๋ยว Ep.2 เราจะมาดูฝั่งตรงข้ามคือดาบของมุรามาสะกันบ้าง ต้องบอกว่าหนังคนละม้วนกับ ep.1 เลยแหละ ฝากติดตาม ติดดาวกันด้วยนะครับ
เช่นเคย เชิญร่วมแชร์ความคิดกันได้ในคอมเมนท์เลยครับ :)
เกร็ดเล็ก: มีการตามหาดาบ ฮอนโจ มาซามุเนะ กันยกใหญ่ในช่วง 50-60 ปีมานี้ แต่เมื่อเอาชื่อคนเซนต์รับคือ Coldy Bimore ที่เอาจริงๆก็ฟังดูประหลาดไปค้นในระบบ กลับไม่เจอคนชื่อนี้ในกองทัพ
เกร็ดน้อย: เรื่องในตำนานการปักดาบยังมีผู้ถกเถียงว่าคนที่ประลองกันใช่มาซามุเนะและมุรามาสะหรือไม่ เพราะในบันทึกกล่าวไว้ว่าทั้งสองคนเกิดคนละยุคกัน ห่างกันประมาณ 200 ปี
1
ภาพประกอบ: ดาบมาซามุเนะที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ชื่อว่า Shimazu Masamune อายุกว่า 700 ปี ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโตครับ
- Xyclopz
20 บันทึก
57
15
17
20
57
15
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย