อวิชชา คือความไม่รู้ ด้วยความไม่รู้นี้เองนำไปสู่ สังขาร
สังขาร คือสภาวะการปรุงแต่งเติมเสริมเกินเลยความจริงไปมากน้อยตามแต่ละคน ปรุงแต่งมากก็ทุกข์มากตาม ปรุงแต่งน้อยลงหน่อยก็ทุกข์น้อยลง เมื่อการปรุงแต่งนี้เกิดขึ้นจากการไปรับรู้ทางหู คือฟัง ตา คือเห็น ลิ้น คือรับรู้รส จมูก คือรับกลิ่น กาย คือการสัมผัสผ่านทางผิวหนังกาย ใจ คือ คือรับรู้ความรู้สึกด้วยใจ การรับรู้ทั้งหมดนี้เรียกว่า วิญญาณ
วิิญาณ คือ การรับรู้ที่กล่าวมา
การรับรู้นี้เกิดได้จากสภาวะเป็นรูปธรรม คือ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้รสชาติ ได้กลิ่น ด้วยการสัมผัสกาย ร้อน หนาวเย็น นุ่ม แข็ง อ่อน เป็นต้น ส่วนนามธรรม คือรับรู้ด้วยใจ ชอบ ไม่ชอบ ผิดหวังสมหวัง เข้าใจ ไม่เข้าใจ เป็นต้น รูปธรรมและนามธรรมนี้ รวมเรียกว่า นามรูป
นามรูป คือ สิ่งที่มากระทบกับอวัยวะรับรู้
สฬายะตะนะ คือ การรับรู้สิ่งที่มากระทบกับวิญญาน จึงกลายมาเป็นความรู้สึกต่างๆที่นามรูปมากระทบ ความรับรู้ความรู้สึกได้ยิน - เห็น - รสชาติ - กลิ่น - สัมผัส - และความรู้สึกทางใจ เมื่อมีตัวสังขารคือตัวผงชูรสมาเติมปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ต่างๆ มันจึงไปเกิดเป็น เวทนา
เวทนา คือ ความรู้สึกจริงที่เกิดเป็น ทุกข์ สุข เฉยๆ วางเฉย แต่สังขารที่ปรุงแต่งไปปลุกเร้า จึงเกิดตัณหา
ตัณหา คือความกระหายอยากกระสันต์ตามที่ปรุงแต่ง แต่เนื่องจากมีอุปทาน คือ ความรู้สึกบางอย่างฝังเป็นฮาร์ดแวร์อยู่ในจิตใต้สำนึก ตัวตัณหาเสมือนคลื่นความถี่(เหมือนคลื่นโทรศัพท์ หรือline หากเราส่งตรงคลื่นนั้น โทรถึงเบอร์นั้น line นั้นก็ติด)มันจะวิ่งไปหาคลื่นในจิตใต้สำนึกว่าตรงกับตัวใด (เบอร์ใด lineใคร) เมื่อหาเจอ ก็จะเริ่มเกิดอารมณ์นั้น เรียกว่า ภพ
ภพ คือ การเริ่มก่อตัวเกิดว่า จะแสดงอารมณ์ ความรู้สึกใด เมื่อเริ่มเกิด จากนั้นแสดงอารมณ์ อารมณ์ที่เริ่มก่อตัวจนเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ คือ ชาติ
ชาติก็คืออารมณ์ที่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมสุข เฉยๆ ทุกข์
ดังนั้น ทุกข์ สุข เฉยๆ จึงเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของชาติ ที่แสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบ ชอบ โกรธ เกลียด โมโห หลง หงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจ มีความสุขใจ หรือไม่ยินดียินร้ายใดๆ เป็นต้น