💰งบการเงินที่ว่ายาก ทำไงให้เข้าใจง่าย🍌🍌
1.กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน(Operating Cash flow) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น เงินที่ไหลเข้า ไหลออกจากธุรกิจหลักหรือ เงินเข้า ออกหลักๆของเราในแต่ละเดือนนั่นเอง
- ประโยชน์ เพื่อให้เราทราบว่า แนวโน้มธุรกิจดีขึ้นหรือแย่ลง หรือเงินในกระเป๋าจากรายได้หลักเรามันเหลือมากหรือน้อยนั่นเอง ถ้าเข้ามากกว่าออกก็ถือว่าดี มีแนวโน้มเงินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในทางธุรกิจก็เหมือนกันถ้าเพิ่มหรือตัวเลขเป็นบวกแสดงว่าธุรกิจมีแนวโน้มดี ผลประกอบการดี ยกตัวอย่างกันง่ายๆดีกว่า
กรณีที่ 1.1 ถ้าน้อง Eazie มีเงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 10,000 บาท แบบนี้จะเห็นว่าน้องEasy จะมีเงินไหลเข้ามาเดือนละ 30,000 บาท มีเงินไหลออกไป 10,000 บาท ดังนั้นกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานในเดือนนี้จะเหลือ 20,000 บาท(30,000-10,000)=20,000 และเดือนถัดไป ก็มีเงินเดือนไหลเข้ามาอีก 30,000 บาท และมีเงินไหลออกไป 10,000 บาท พอสรุป ณ สิ้นเดือนที่ 2 น้อง Eazie จะมีกระแสเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงานคงเหลือ 40,000 บาท (20,000+30,000-10,000)=40,000 เห็นไหมถ้าน้อง Eazie รู้วิธีดูกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานแล้ว จะได้เอาไปเช็คได้ในแต่ละเดือนว่าเราต้องบริหารการใช้จ่ายอะไรๆได้บ้างหรือจะเอาไว้ จัดสรรไปลงทุนเพิ่มเพื่อให้เงินงอกเงยอีกได้ไหม เป็นต้น
กรณีที่ 1.2 ถ้าน้อง Aizie เปิดบริษัท ขายสินค้า ในวันที่ 1 ม.ค บริษัทมีเงินในบัญชี 300,000 บาท และพอถึงสิ้นเดือน สรุปยอดการขายสินค้าได้กำไร 100,000 บาท(ซื้อสินค้ามา 300,000 บาท ขายไป 400,000 บาท) สมมติว่าเป็นการขายสด งดเชื่อเบื่อทวง จะเห็นว่า บริษัทของน้อง Aizie มีกระแสเงินสด ณ วันแรก 300,000 บาท และมีกระแสเงินสดไหลออกไปซื้อสินค้า 300,000 บาท แต่มีกระแสเงินสดไหลเข้ามา 400,000 บาทจากการขายสินค้าแบบเงินสด ดังนั้น บริษัทของน้อง Aizie จะมีเงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงานคงเหลือ 400,000 บาท(300,000-300,000+400,000)=400,000
🍌🍌🍌 มีซิ น้อง Eazie จะยกตัวอย่างเพิ่ม ดังนี้นะคะ
กรณีที่ 1.3 ถ้าน้อง Aizie ประกอบธุรกิจเหมือนกรณีที่ 1.2 ในงบกำไรขาดทุนยังเท่าเดิมคือมีกำไร 100,000 บาท แต่น้อง Aizie ยังเก็บเงินลูกค้าไม่ได้หรือ อาจจะเป็นเพราะให้เวลาชำระหนี้แก่ลูกค้า 30 วัน สรุปเงินสดจ่ายดังนี้ มีกระแสเงินสด ณ วันแรก 300,000 บาท และมีกระแสเงินสดไหลออกไปซื้อสินค้า 300,000 บาทและยังไม่ได้รับเงินจากขายสินค้า 400,000 บาท ดังนั้น บริษัทของน้อง Aizie จะมีเงินสดคงเหลือ 0 บาท แต่จะมีกระแสเงินสดติดลบ 400,000 บาท เพราะยังไม่ได้รับเงินจากลูกหนี้นั่นเอง (300,000-300,000-400,000)=-400,000 ดังนั้น น้อง Aizie ควรดูประเภทธุรกิจตัวเองให้ดี ว่าสามารถที่จะให้เครดิตลูกหนี้ในการจ่ายชำระเงินแบบไหน ถ้านานๆแต่ธุรกิจเราพึ่งเริ่ม อาจจะไม่เหมาะ เพราะเราจะไม่มีเงินหมุนไปซื้อของมาขายต่อ เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทางนะ บางทีเริ่มธุรกิจใหม่ๆ บริษัทอาจจะต้องการเงินทุนหรือเงินกู้เพื่อมาขยายธุรกิจหรือหามาซื้อสินค้าเพิ่ม เพื่อรอเงินจากลูกค้าที่เราให้เครดิตชำระแบบยาวๆก็ได้ แล้วแต่ความสามารถ หรือแนวคิดของแต่ละบริษัทนั้นๆนะคะ
✨✨ สรุปคือถ้ามีเงินไหลเข้ามาก กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานจะเป็นบวก ยิ่งบวกยิ่งดี แสดงถึงความสามารถของเราหรือของบริษัทว่ามีการจัดการได้ดีเยี่ยม
2.งบกระแสเงินสดจากการลงทุน(Investing Cash flow) คือ เงินที่จ่ายออกไปเพื่อลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ เช่น ซื้ออุปกรณ์การทำงานใหม่ หรือสร้างเครื่องจักรใหม่ เป็นต้น
-ประโยชน์ เพื่อให้รู้ว่าเราลงทุนไปมากแค่ไหน และเราจะมีเงินเพียงพอไหมหรือจะต้องหาเงินทุนเพิ่ม น้อง Eazie จะยกตัวอย่างให้ฟังจ้าาา
กรณีที่ 2.1 น้อง Eazie ทำงานบัญชี แล้วน้องEazie ก็คิดว่าจะขายของ Online เพิ่มด้วย เลยคิดจะซื้อ โทรศัพท์ดีๆ ซักเครื่องเพื่อเอามาถ่ายรูปสินค้าลงขายใน Internet ก็เลยไปซื้อโทรศัพท์มา 1 เครื่อง ราคา 25,000 บาท ดังนั้นน้องEazie จะมีกระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมลงทุนเป็นลบ 25,000 บาท ถ้าในมุมของบริษัทก็ไม่ต่างจากน้อง Eazie เลยค่ะ จ่ายเงินลงทุนไปเท่าไหร่ก็จะมีกระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมลงทุนติดลบเหมือนกัน เพราะชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการลงทุน แต่ลงทุนแล้วจะดีไม่ดีมันก็จะส่งผลไปยัง งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อไป เพราะถ้าลงทุนแล้วเราได้ผลกำไรและได้เงินมาเพิ่มจากการดำเนินงาน ก็จะทำให้กระแสเงินสดรับเข้ามาเพิ่ม คุ้มค่ากับการลงทุนนั่นเอง
✨✨ สรุปคือ งบนี้จะเป็นลบเพราะเราต้องจ่ายเงินเพื่อลงทุน ถ้าไม่มีการลงทุนอะไรก็จะไม่มีในส่วนนี้ แต่เราก็คงไม่หยุดยั้งอยู่นิ่งๆกันใช่ไหมเอ่ย คงต้องมีอะไรให้ลงทุนกันต่อแน่ๆ 555
3.งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน(Financing Cash Flow) คือ แสดงแหล่งเงินเข้า เงินออก ต่างๆของเรา ซึ่งมาจากไหนบ้าง เช่น เงินรับจากเงินทุน เงินรับจากกู้ยืม เงินจ่ายคืนเงินกู้ยืม หรือแม้แต่เงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น เป็นต้น
- ประโยชน์ คือ จะทำให้เราทราบว่า เงินต่างๆที่เราเอามาดำเนินธุรกิจและเอาไปลงทุน มาจากแหล่งไหนบ้าง เช่น มาจากเงินเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้น หรือเงินกู้ยืม ซึ่งจะช่วยพิจารณาว่าเราเหมาะที่จะกู้หนี้ยืมสิน หรือจะขอเพิ่มทุนดีกว่า ตัวอย่าง ก็ง่ายๆ
กรณี 3.1 ถ้าวันที่ 1 กู้หนี้มา 100,000 บาท ก็จะมีเงินสดรับจากการกู้ยืม 100,000 บาท และพอสิ้นเดือนเราต้องจ่ายหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย 110,000 บาท ดังนั้น ณ สิ้นเดือน จะมีกระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมจัดหาเงิน ติดลบ 10,000 บาท(100,000-110,000)=-10,000
กรณีที่ 3.2 บริษัทได้ขอเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นมาได้ 100,000 บาท ดังนั้น จะมีกระแสเงินสดรับจากกิจกรรมจัดหาเงินติดบวก 100,000 บาท
✨✨ สรุป กิจกรรมนี้ถ้าเราไปกู้เงินหรือไปขอเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นมาจะมีค่าติดบวกเพราะเราได้เงินมา แต่ถ้าจ่ายออกไปเมื่อใด ก็จะติดลบ คิดแบบตรงๆได้เลยไม่ยุ่งยากนะคะ สุดท้ายแล้วทุกคนก็คงไม่อยากยืมหรือกู้เงินเพราะเราต้องมีภาระจ่ายหนี้และดอกเบี้ย แต่ถ้าเราไม่สามารถขอเงินเพิ่มทุนหรือจากเงินทุนของเราแล้ว มันก็จำเป็นที่จะต้องกู้ยืม แต่ก็ต้องใช้วิจารณญาณกันอย่างระมัดระวัง
ด้วยความหวังดีจากน้อง Eazie และ น้อง Aizie นะคะ/นะครับ
- 45
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
