21 ต.ค. 2019 เวลา 14:35 • บันเทิง
บิดสุดใจ แรงเกินฝัน (2005): "ไม่มีคำว่าแก่เกินไป ถ้าใจอยากจะทำในสิ่งที่รัก"
เรื่องจริงของชายผู้ที่ได้รับฉายาว่า "เทพเจ้าแห่งความเร็ว"
จากคนที่ชื่นชอบและหลงไหลในเรื่องความเร็วมาตั้งแต่เด็กๆ จนได้กลายมาเป็นตำนานนักบิดที่เร็วที่สุดในโลก ในวัย 60 ปี
ชายผู้นี้คือใคร และอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เค้าลุกขึ้นมาทำตามความฝันทั้งที่มีอายุมากขนาดนี้แล้ว
วันนี้ผมจึงอยากพาทุกๆคนมารู้จักกับชายผู้นี้กันครับ 😊
ชายผู้นี้มีนามว่า เบิร์ต มันโร เกิดในปี ค.ศ. 1899 และเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีอาชีพทำฟาร์ม โดยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองอินเวอร์คาร์จิลล์ ประเทศนิวซีแลนด์
เบิตมีความชื่นชอบเกี่ยวกับความเร็วมาตั้งแต่เด็กๆ และมีความฝันว่าอยากจะสร้างรถมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลกขึ้นมาให้ได้
เหตุผลที่ว่าทำไม เบิตจึงชื่นชอบในเรื่องของความเร็วนั้น เกิดขึ้นเมื่อตอนวัยเด็กในช่วงที่เค้าใช้ชีวิตอยู่ภายในฟาร์ม ซึ่งเค้ามักจะเห็นพ่อควบม้าอยู่ในฟาร์มเป็นประจำ
ทำให้เบิตเกิดความหลงใหลในเรื่องของความเร็ว และทำให้เค้าอยากจะสร้างยานพาหนะที่รวดเร็วยิ่งกว่าม้าขึ้นมา
Cr. sphinx cinema
พอถึงช่วงวัยรุ่นเบิตได้ออกจากฟาร์มของพ่อ เพื่อไปหางานทำในตัวเมือง ซึ่งเค้าได้ไปสมัครเป็นพนักงานขายรถจักยานยนต์
ที่นั้นเองทำให้เบิตได้มีโอกาสเรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ อย่างเช่นเรื่องของการซ่อมบำรุง และการแต่งรถ เป็นต้น
เบิตได้ทุ่มเทให้กับงานของเค้าเป็นอย่างมาก จนทำให้ชื่อของเค้ากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ของวงการช่างรถมอเตอร์ไซค์มืออาชีพในประเทศนิวซีแลนด์เลยทีเดียว
จนเมื่อเค้าอายุได้ 40 ปี เบิตได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำของเค้า เพื่อเทหมดหน้าตักให้กับความฝัน ที่ต้องการจะสร้างรถจักรยานยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก
โดยเบิตใช้เงินที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต มาใช้ในการเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นอู่สำหรับการปรับแต่งรถโดยเพาะ จนทำให้หลายคนแถวบ้านคิดว่าเค้าเพี้ยนไปแล้ว
Cr. triumph bonneville
แต่เบิตไม่เคยแคร์ว่าคนรอบข้างจะคิดกับเค้ายังไง เค้ามุ่งมั้นในการสร้างรถของเค้าต่อไป อย่างไม่หยุดหย่อน
ซึ่งรถที่เบิตนำมาใช่ในการปรับแต่งคือ รถมอเตอร์ไซค์ อินเดียน รุ่นสเก้าต์ ปี 1920 มอเตอร์ไซค์รุ่นโบราณ ที่มีความเร็วสูงสุดเพียงแค่ 55 ไมล์ต่อชั่วโมงเท่านั้น
ซึ่งเค้าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถแทบทั้งคัน แถมยังต้องเอาชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมากออกไปบางส่วน เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วให้กับรถของเค้าอีกด้วย
Cr. stuff.co
และแล้วเบิตก็สามารถสร้างรถมอเตอร์ไซค์อินเดียนสเก้าต์ที่เร็วที่สุด ขึ้นมาได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1962 ซึ่งตอนนั้นเค้ามีอายุปาไปกว่า 60 ปีแล้ว
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นอายุของเค้ามากแล้วก็ตาม แต่เบิตไม่เคยคิดว่ามันเป็นอุปสรรค เค้าเดินหน้าต่อเพื่องมุ่งไปให้ถึงความฝันของเค้า ด้วยการเดินทางไปพิสูจน์ความเร็วที่งานแข่งระดับโลกที่ 'บอนเนวิลล์ซอล์ตแฟลตส์' ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อนำรถอินเดียนสเก้าต์ที่เค้าประดิษขึ้น ไปลงแข่งขันที่นั้น
ซึ่งการที่จะไปยังสนามเเข่งขันนั้น เบิตจะต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากออสเตเลีย เพื่อมุ่งสู่จุดหมายที่บอนนีวิลล์ ในรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยที่การเดินทางในสมัยนั้นค่อนข้างที่จะยากลำบาก เพราะ เบิตจะต้องขนรถของเค้าขึ้นเรื่อ และต้องขี่รถต่อไปอีกเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเพื่อไปยังรัฐยูทาห์ ซึ่งถือเป็นการเดินทางที่ยากลำบากพอสมควร
แต่เมื่อเบิตเดินทางมาถึงยังสนามแข่งขัน เค้าก็ต้องพบกับความผิดหวัง เนื่องจากตัวของเค้าและรถไม่ผ่านเกณฑ์ของการเข้าร่วมแข่งขัน เพราะอายุของเค้าเกิน และรถก็เก่าเกินไปอีกด้วย
Cr. justwatch.com
ทำให้เบิตต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้าร่วมการเเข่งขันให้ได้ เมื่อผู้ร่วมแข่งขันคนอื่นๆเห็นถึงความมุ่งมั่นของเค้า ที่เดินทางมาไกลตั้งซีกโลก จึงพากันเรียกร้องให้เหล่าผู้จัดงานแข่งอนุญาตให้เบิตร่วมลงแข่งขันด้วย จนในที่สุดเบิตก็ได้รับอนุญาตให้ลงแข่งได้
เมื่อถึงคิวลงสนามของเบิตทุกคนต่างเป็นห่วง และเอาใจช่วยว่าเค้าจะรอดไหม
ซึ่งเบิตก็ได้ทำให้ทุกคนภายในสนามต้องอึ้ง เมื่อเขากับรถอินเดียนสเก้าต์คู่ใจ ออกตัวไปด้วยความเร็วอย่างกับจรวด โดยที่ความเร็วพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 288 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นความเร็วสถิติโลกเลยทีเดียว สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 850 ซีซี.
ทำให้ความฝันของเค้ากลายเป็นจริงจนได้ในที่สุด 👏
Cr. newzealand.com
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1966 และ 1967 เบิตก็ได้กลับมาเยือนยังสนามแข่งนี้อีกครั้งเพื่อทำลายสถิติความเร็วที่ตัวเองได้ทำเอาไว้
ซึ่งในปี ค.ศ. 1967 นี่เองที่เบิตกับรถเครื่องยนต์ขนาด 950 ซีซี. ของเค้า สามารถทำความเร็วไปได้ถึง 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการทำลายสถิติโลกเดิมที่ตัวของเค้าเคยทำเอาไว้ในปี ค.ศ. 1962 และกลายเป็นสถิติโลกใหม่ที่ยังไม่มีใครสามารถล้มลงได้
โดยเรื่องราวของลุงเบิต ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อเรื่องว่า The World's Fastest Indian (2005) ซึ่งหยิบเอาเรื่องราวการเดินทางข้ามทวีปเพื่อนำรถอินเดียนสเก้าต์ของเค้ามาพิสูจน์ความเร็วที่สนามบอนนีวิลล์ ในปี ค.ศ. 1962 นั้นเอง
ซึ่งเรื่องราวของเบิต ได้สร้างแรงบัลดาลใจให้กับผู้คนมากมาย และเป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามทำตามความฝันจนประสบความสำเร็จ โดยที่ไม่เอาเรื่องของอายุมาเป็นอุปสรรคหรือข้ออ้างในการทำสิ่งที่ตัวเองรัก
ทำให้เบิตกลายเป็นบุคคลที่น่ายกย่องและน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากที่เค้าเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1978 ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นที่เมืองอินเวอร์คาร์จิลล์ ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของเค้า
Cr. fiberglass
สุดท้ายนี้ขอจบด้วยคำพูดของชายผู้เป็นตำนานคนนี้ ว่า
"การเสี่ยงอันตรายคือรสชาติของชีวิต ถ้าหากคนเราไม่ทำตามความฝัน ก็ควรไปเกิดเป็นผักดีกว่า"
by หมาน้อย
โฆษณา