21 ก.ย. 2019 เวลา 07:23 • บันเทิง
Review
Once Upon A Time In Hollywood
Once Upon A Time In Hollywood เป็นเหมือนหนังที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความรู้สึกของ Quentin Tarantino ที่มีต่อวงการ Hollywood ในช่วงปลายยุค 60 ออกมาให้คนดูอย่างเราได้ซึมซับกับบรรยากาศอันศิวิไลซ์ของวงการภาพยนต์ ณ ช่วงเวลานั้น ผ่านตัวละครของ ริค ดาลตัน นักแสดงที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง และ คลิฟฟ์ บูท สตันท์แมนคู่บุญ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง Chapter 1-2 เรามองไม่เห็นถึงความชัดเจนในเนื้อเรื่อง เป็นเหมือนการถ่ายทอดการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวละครหลัก 2 คนเท่านั้น และก็ดูเหมือนว่าเควนตินกำลังใช้ช่วงเวลานี้เป็นดั่งกระดาษที่เขากำลังเขียนสิ่งที่ต้องการจะพูดถึงแง่มุมต่างๆของ Hollywood ที่เขารักและโตกับมันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งหนัง เพลง นักแสดง ในช่วงยุคนั้นที่เขานำเสนอออกมาให้เราได้ชมกัน แต่ก็ต้องบอกว่ามันก็ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะเข้าถึงได้ง่าย เพราะมันก็ค่อนข้างเก่าเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ช่วงที่ทำให้ตัวหนังดูน่าเบื่อแต่อย่างใด เพราะเราจะได้เพลิดเพลินกับการได้เห็นวิถีชีวิตของคนในยุคนั้น รถลาที่คลาสสิค แฟชั่น สไตล์การแต่งตัว ซึ่งเควนตินทำตรงนี้ออกมาได้ดีมาก และถ้าเป็นคนชอบความคลาสสิคแบบเราเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายเวลาแต่อย่างใดเลย
อีกอย่างคือช่วงเวลาชีวิตของตัวละคร ริค ดาลตัน ถือเป็นวัตถุดิบที่มีความน่าสนใจมาก กับการที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตตัวเอง ที่กำลังตกอับ เป็นได้แค่ตัวร้าย นั่งมองเด็กรุ่นใหม่มันขึ้นแท่นมาแทน ถามหาความมั่นใจในตัวเองไม่มีเลยซักนิด เอาแต่กดตัวเองให้ต่ำลง แต่เมื่อเขาได้พบกับเด็กหญิงคนหนึ่ง ผนวกกับการที่เขาถึงจุดต่ำตมถึงขีดสุดในชีวิตนักแสดงจนแม้แต่บทก็ยังจำไม่ได้ มันก็ช่วยทำให้เขา Comeback กลับขึ้นมาได้ และทำให้เขาเข้าใจว่ามันคือเรื่องธรรมชาติ แรกเริ่มที่เขาเข้าวงการมา เขาก็เหมือนกับสตรอเบอร์รี่ที่สดใหม่ ใครก็อยากจะหยิบ อยากจะชิม อยากจะชม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็ต้องมีสตรอเบอร์รี่ล็อตใหม่เข้ามาวางแทนที่ หน้าที่ของเขาก็คือทำยังไงให้ตัวเองเขยิบขึ้นไปอยู่อีก Shelf หนึ่ง ไม่ใช่โดนยกออกไป และเปลี่ยนตัวเองจาก “รุ่นใหม่” ให้กลายเป็น “รุ่นใหญ่” แค่นั่นเอง สิ่งเหล่านี้ผสมผสานกับสเน่ห์การเล่าเรื่องของเควนตินที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ผ่านการแสดงของ ลีโอนาโด ที่โครตจะสุดยอด เรียกได้ว่าเป็นเหมือนช่วงเทศกาลปล่อยของของ ลีโอนาโด เลยก็ว่าได้ หลายๆซีนนี่คืออยากจะลุคขึ้นปรบมือจริงๆ และในส่วนของ แบรด พิตต์ นั้นแม่งก็โครตจะเท่ รักสำเนียงแกมาก แถมบุคลิกท่าทาง ฉากต่อยฉากแอคชั่นนี่มันชวนเราเป็นเพศที่สามได้ง่ายๆเลยนะ
ผ่านมาในช่วง Chapter 3-4 หลังจากการไปเยือนโรงถ่ายภาพยนต์คาวบอยของแบรด พิตต์ นับแต่วินาทีนั้นก็ดูเหมือนว่าเส้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ดูจะชัดเจนขึ้นมา เริ่มมีเหตุที่พอจะทำให้เราคาดเดาสถานการณ์ข้างหน้าได้แล้ว ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ Base On เรื่องจริง คือ บอกเล่าเกี่ยวกับครอบครัวแมนสันหรือลัทธิแมนสัน ซึ่งก็คือพวกฮิปปี้ภายในหนังนั้นแหละ ด้วยความที่มันเป็นเรื่องจริง แล้วต้องมาผ่านมือของเควนตินนั้น ซึ่งแน่นอนเราก็พอจะรู้สไตล์ของพ่ออยู่แล้ว ว่าพ่อชอบที่จะนำเหตุการณ์จริงมากลับตาลปัตรอยู่เสมอๆ น่าเสียดายตรงจุดนี้ มันเลยทำให้เราคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ในช่วงหลังสิ่งที่เราสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดเลยก็คือ การที่เควนตินนำเอาเรื่องจริงมาบดขยี้บี้ป่นแบบนี้ มันก็เป็นเหมือนการระบาย การลบล้างความรู้สึกเศร้าโศกสลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น อย่างคดีฆาตกรรม ชารอน เท็ต ที่ถือเป็นคดีใหญ่คดีหนึ่ง ที่สร้างความหวาดผวาให้กับวงการ Hollywood อย่างมาก และเหมือนข่าวนี้มันก็เป็นเหมือนสิ่งที่ติดค้างในใจของเควนตินตลอดมา เขาจึงเอามันมาทำในแบบฉบับที่เขาต้องการอยากจะให้มันเป็น
สรุปอย่างง่ายก็คือ ในช่วง Chapter 1-2 นั้น เป็นเหมือน Part ของสิ่งที่ตัวเควนตินต้องการจะสื่อถึงสิ่งที่เขารักเกี่ยวกับวงการ Hollywood และในช่วง Chapter 3-4 มันก็คือการลบล้างตราบาปกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยการนำมันมายำ เล่นให้เละ เพื่อระบายความรู้สึกเศร้าออกไปให้หมด
สำหรับภาพยนต์ลำดับที่ 10 ของเควนตินเรื่องนี้ก็คงนำมาบอกเล่ากันเพียงแค่นี้ ไม่มีอะไรจะพูดเพราะทุกอย่างมันคือสไตล์ของเควนติน ที่ถ้าอยากจะเข้าใจก็คงจะต้องไปเสพงานของแกกันเอาเอง เพราะเรื่องนี้มันรวมความเควนตินแบบสุดโต่ง ซึ่งต้องบอกเลยว่ามันคือหนังที่สุดยอดมากๆอีกเรื่องหนึ่ง ฝีมือพ่อเราคนนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ.
โฆษณา