#เรื่องราวเอามาแบ่งปัน!!! บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์โรงแรมในแต่ละยุคสมัย ตอนที่ 2
.“คนโง่ไม่ชอบเรียนรู้ คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง ส่วนคนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น” หลายท่านคงจะเคยได้ยินมาบ่อย แต่คุณอยากเป็นคนแบบไหนก็ต้องเลือกเอา
จากบทความก่อนหน้า เรื่องราวเอามาแบ่งปัน!!! บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์โรงแรมในแต่ละยุคสมัย ตอนที่ 1 ฉันนำเรื่องราวประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของโรงแรมในยุโรปมาแบ่งปันไว้ให้อ่านกัน และยังติดค้างเรื่องของประวัติศาสตร์โรงแรมในอเมริกาและในประเทศไทยเอาไว้ จึงนำมาเขียนแบ่งปันให้อ่านกันในบทความนี้ค่ะ
ประวัติศาสตร์โรงแรมในอเมริกา
เริ่มต้นขึ้นใน ศตวรรษที่ 16 เมื่อประชากรจากยุโรปและอังกฤษหลั่งไหลอพยพไปอยู่ในอเมริกา ทำให้เกิดโรงแรมที่พักตามบริเวณชายฝั่งทะเลหรือแม่น้ำ
ค.ศ. 1630 แซทมอน โคลส์ ร่วมกับกลุ่มพิวริตันก่อตั้งโรงแรมแห่งแรกชื่อว่า โรงแรม โคลส์ ออดินารี่ ที่เมืองบอสตัน มีลักษณะคล้ายกับหอพักและกฏที่เข้มงวดมากเนื่องจากถูกดูแลและควบคุมโดยบาทหลวงพิวริตัน
(กลุ่มพิวริตัน เป็นกลุ่มชาวอังกฤษรุ่นแรก ๆที่อพยพไปอยู่อเมริกา พิวริตัน (Puritan) เป็นศาสนาคริสต์อีกนิกายหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเคร่งครัดและเข้มงวดมาก มีเมืองบอสตัสเป็นเมืองศูนย์กลางของการนมัสการในยุคนั้น)
ค.ศ. 1642 บริษัทเวสต์อินเดีย สร้างโรงแรมชื่อ โรงแรมชื่อ ซิตตี้ ทาเวิร์น ตั้งอยู่บริเวณอู่ต่อเรือของนิวยอร์ก โรงแรมในยุคเริ่มต้นนิยมตั้งอยู่แนวฝั่งแม่น้ำลำคลองเนื่องจากยุคนั้นเน้นการคมนาคมทางน้ำ ต่อมาเมื่อการคมนาคมพัฒนามาเป็นรถไฟโรงแรมจึงผันตัวเองไปตั้งอยู่ตามเส้นทางรถไฟผ่าน
ค.ศ. 1974 ได้มีการก่อสร้างโรงแรมขึ้นเพื่อรองรับนักธุรกิจในเมืองนิวยอร์ค เรียกว่า City Hotel ต่อมาได้มีการก่อสร้างโรงแรมในรัฐอื่นอย่างกว้างขวางแต่โรงแรมในขณะนั้นก็ยังให้บริการที่พักและอาหารแบบธรรมดาไม่อยู่ในขั้นเรียกว่าหรูหราและได้มาตรฐาน
ค.ศ. 1829 ได้สร้างโรงแรมทันสมัยขึ้นแห่งแรกที่เมืองบอสตัน ชื่อว่า โรงแรมทรีมองต์ เมื่อแรกเริ่มมีชื่อว่า “ Tremont House” ออกแบบโดย Isaiah Rogers (สถาปนิกที่ขึ้นชื่อในการออกแบบโรงแรม และโรงแรมที่มีชื่อเสียง ต่อมาที่สร้าง คือ Astor House ในปี ค.ศ. 1836 ที่เมืองนิวยอร์ค) โรงแรมทรีมองต์เป็นอาคาร 4 ชั้นก่อด้วยหินแกรนิต สไตล์การออกแบบสถาปัตยกรรมเป็ฯแบบโบราณยุคใหม่ (Neoclassic) และโรงแรมทรีมองต์นี่เองที่เป็นแม่แบบในการก่อสร้างโรงแรมหรูในอีกหลายแห่งในเวลาต่อมา
นวัตกรรมของโรงแรมทันสมัยในยุคนั้น ประกอบด้วย
มีระบบน้ำประปา (Indoor plumbing)
มีส้วมและห้องอาบน้ำ (Indoor toilets and baths) ภายในอาคาร
มีบริเวณต้อนรับแขก (Reception area)
มีกุญแจล๊อกห้อง (Locked rooms for the guest)
มีสบู่ฟรี (Free soap)
มีบริการยกกระเป๋า (Bellboys)
โรงแรมมีน้ำใช้โดยการมีเครื่องปั้มน้ำที่ใช้พลังจากเครื่องจักรไอน้ำ สูบน้ำขึ้นไปเก็บไว้ในถังชั้นบนสุดใต้หลังคา แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงมา โรงแรมมีห้องน้ำ 8 ห้องที่เป็นห้องส้วม (Water closets, toilets) ซึ่งอยู่ในชั้นล่าง ห้องอาบน้ำอยู่ในชั้นใต้ดิน (Basement) และมีน้ำใช้ แต่เป็นน้ำเย็น ยังไม่ใช่น้ำอุ่น อ่างอาบน้ำทำด้วยทองแดงหรือสังกะสี ใช้แก๊สในการทำให้น้ำร้อน น้ำประปาใช้ในห้องครัวและห้องซักผ้า น้ำเสียที่ใช้แล้วมีการขจัดลงในท่อระบายน้ำ (Sewage system)
(ข้อมูลจากคุณประกอบ คุปรัตน์ )
ค.ศ. 1908 Ellsworth Statler ได้ก่อตั้งโรงแรม บัฟฟาโล สเตตเลอร์ (Buffalo Statler Hote) l ขึ้น มีห้องพักทั้งหมด 300 ห้อง เพื่อเป็นโรงแรมสำหรับนักธุรกิจเป็นแห่งแรก โดยมีแนวคิดเน้นการบริการสิ่งอำนวยความสะดวกโดยไม่ซ้ำแบบใคร ในห้องพักมีห้องน้ำส่วนตัวที่เป็นสัดส่วน ใช้ที่ล็อคประตูเพื่อความเป็นส่วนตัว ติดสวิทซ์ไฟริมประตู และบริการหนังสือพิมพ์ในตอนเช้า Ellsworth Statler ได้ขยายกิจการโรงแรมออกไปยังเมืองต่าง ๆ จนเป็นแนวคิดของการจัดตั้งโรงแรมแบบเครือข่ายหรือที่เรียกกันว่า Chian Hotel
ค.ศ. 1927 มีการก่อสร้างโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดคือ Stephens Hotel ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Conrad Hilton Hotel และปัจจุบันชื่อ Hilton Hotel and Towers ต่อมาปี ค.ศ. 1930 เศรษฐกิจในอเมริกาเริ่มตกต่ำธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบเริ่มปิดทยอยปิดตัวลง จนกระทั่งปีค.ศ. 1940 จึงได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นใหม่ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการเดินทางในอเมริกาเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ความต้องการห้องพักและอัตราการเติบโตของโรงแรมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ค.ศ. 1952 Kemmons Wilson ได้สร้างโรงแรมประเภทมอเตอร์ (Moter + Hotel = Motel) เป็นครั้งแรกชื่อว่าHoliday Inn เพื่อตอบสนองการเดินทางและไลฟ์สไตล์ของอเมริกันชนที่เปลี่ยนแปลงไป ชาวอเมริกาใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางเพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น Motel เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมถนนเส้นทางคมนาคมรถยนต์ นักเดินทางสามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดค้างคืนในMotel ได้ทันที ผู้เข้าพักไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าบริการทุกชนิดที่โรงแรมจัดไว้ให้ สามารถตัดบริการบางอย่างที่ไม่ต้องการออกไปได้เหลือไว้แต่ค่าบริการขั้นต่ำ จึงเป็นการบริการที่ตรงตามความต้องการกับลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้ธุรกิจMotelได้รับความนิยมอย่างสูงและมีความสำคัญกับอุตสาหกรรมโรงแรม
ค.ศ. 1980 ธุรกิจโรงแรมได้ปรับปรุงบริการเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง เช่น บริการด้านอาหาร บริการความบันเทิง คาสิโน และโรงแรมบางแห่งได้ขยายตัวมาอยู่ใกล้กับสนามบินเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเดินทาง
ประวัติศาสตร์โรงแรมในประเทศไทย
ผู้คนเดินทางสมัยก่อนที่ประเทศไทยยังไม่มีโรงแรมมักจะอาศัยนอนตามบ้านญาติหรือศาลาวัด ต่อมาเมื่อมีพ่อค้าชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาค้าขายในกรุงรัตนโกสินทร์เพิ่มมากขึ้น จึงได้เริ่มมีการสร้างที่พักริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้น เดิมเรียกว่า “ที่พักคนเดินทาง” มีลักษณะเป็นเรือนแถวยาวยกพื้นสูงแค่เข่า เป็นห้องพักคล้ายกับศาลาการเปรียญที่วัด เวลามีผู้เข้าพักก็จะนอนเรียงรายเป็นแถวต่อกันไป ไม่มีห้องแยกเป็นสัดส่วน ต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นตึกแถวสองชั้นแยกห้องพักเป็นสัดส่วนเพื่อความสะดวก
พ.ศ. 2405 ในสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 4 จึงได้เกิดที่พักแรมขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก เรียกว่า “Boarding House” ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ เจ้าพระยาข้างกงสุลฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อหม่อมราโชทัย เสด็จกลับมาจากอังกฤษจึงได้นำแนวความคิดการสร้างโรงแรมมาพัมนา และประพันธ์เรื่อง “นิราศลอนดอน” จึงได้นำคำว่า “โฮเต็ล” มาใช้และถูกเรียกว่า “โรงแรม” ในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2406 มีการเปิดใช้โรงแรมที่สร้างได้มาตรฐานตามตะวันตกขึ้นเป็นแห่งแรก ชื่อว่าโรงแรมยูเนี่ยน (Union Hotel)
พ.ศ. 2419 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้สร้างโรงแรมโอเรียนเต็ลขึ้น เป็นลักษณะอาคารชั้นเดียวขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นโรงแรมแห่งแรกที่นำระบบไฟฟ้ามาใช้ในกิจการ และมีการเปิดร้านอาหารเต็มระบบในโรงแรม ในรัชสมัย ร.5 กิจการโรงแรมในประเทศไทยเริ่มเฟื่องฟูมาก จนมีการเปิดประเทศและส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยว จึงได้มีโรงแรมนานาชาติอื่นๆเข้ามาเปิดให้บริการในสมัยรัชกาลที่ 9 เป็นจำนวนมาก
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านประวัติศาสตร์โรงแรมยืดยาวตั้งแต่ตอนที่ 1 มาจนถึงตอนจบในบทความนี้ ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คนที่อดทนอ่านเรื่องราวแบบนี้มาจนถึงตอนจบ เพราะสำหรับบางคนแล้วประวัติศาสตร์คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ คนใจร้อน คนใจเร็วด่วนได้ชอบอะไรที่เป็นทางลัด และมักจะได้ผลลัพธ์แบบขอไปที แต่ความสำเร็จจะเป็นของคนที่มีความอึดและอดทนได้มากกว่าเท่านั้น ผลลัพธ์ของคนที่มีความอดทนมากพอมักจะหอมหวานและงดงามยิ่งกว่า
ติดตามบทความของเราทั้งหมดได้ที่
โฆษณา