25 ก.ย. 2019 เวลา 13:30 • การศึกษา
กลยุทธ์ปั้นงานวิ่งจิ๊กเงินหลักล้าน
การจัดงานวิ่ง ก็เหมือนกับการทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่งครับ
แต่แทนจะขายสินค้าที่จับต้องได้ กลายเป็นเราขายคุณภาพของงานโดยรวม ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นเหล่าผู้สมัคร
จากสมัยก่อนมีงานออกมาแค่ปีละ เกือบๆ 500 งานต่อปี แต่ทุกวันนี้แทบจะมีปีละ 1200 งาน+
หลังจากกระแสพี่ตูน x กระแสรักสุขภาพ
นั่นหมายความว่าตราบใดที่ยังมี "ความต้องการวิ่ง" ก็จะมี "งานวิ่ง" เกิดขึ้นเรื่อยๆ และเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีเงินหมุนเวียนไม่น้อยเลยทีเดียว
และนี่เป็นที่มาของเรื่องต่อไปนี้....
Present by ซีรี่ส์ด้านมืดของสังคม
ยินดีต้อนรับสู่โลกสีเทา
วันนี้เราจะโยนเข้าประเด็นเร็วสักหน่อยครับ🙃
งานวิ่ง 1 งานมักจะมีผู้จัดเป็นคนบริหารทั้งหมด
ซึ่งรายจ่าย ที่เราอดคิดไม่ได้ว่า งานหนึ่งงานต้องลงเงินไปขนาดไหนถึงจะได้คลอดใบประกาศรับสมัครออกมา
แต่ก่อนจะมาเล่าเรื่องนั้น มาดูกันก่อนครับว่างานวิ่งมีงานประเภทไหนบ้าง
อย่างที่เราเคยเห็นประกาศโฆษณา เราพอจะจำแนกงานวิ่งได้หลายแบบ เช่น
งานวิ่งเพื่อการกุศล งานวิ่งเพื่อสงเสริมสุขภาพ กิจกรรมชุมชน กิจกรรมองค์กร
งานวิ่งเพื่อการท่องเที่ยว งานวิ่งภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการขาย
ดูๆไปก็เหมือนกับงานอีเว้นทั่วไปใช่มั้ยหล่ะครับ ที่จะมีผู้รับเหมามาจัดงานให้สะดวกเรียบร้อย
แต่หากรู้วิธีโกงเอาเงินจริงจากงานรับเหมาแบบนี้มันไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งผมจะจำแนกออกเป็น 2 หมวดครับ
คือการคิดหารายได้แบบผิดๆของออแกไนซ์ที่รับเหมาจัดงาน กับ กรณีจัดงานรับเหมาเอง🤫
บรรยากาศช่วงวันก่อนแข่งทุกงานประมาณนี้
เริ่มจากออแกไนซ์ก่อน😐
สมัยก่อน ราคางานวิ่งทั่ว ๆ ไปค่าสมัครระยะไม่เกิน 21 กิโลเมตร ก็จะอยู่ราว ๆ 300-400 บาท บางงาน 150-200 บาทก็มี เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วก็อาจจะเหลือไม่มากนักแล้วแต่ความทุ่มเทของเจ้าภาพว่าจะตั้งใจให้เหลือมากเหลือน้อย
และช่วงปีหลังๆนี้ค่าวิ่งขยับไปแตะ 700 บาท วิ่งมาราธอน 900 บาท ก็มี ทำให้รายได้จากการวิ่งพุ่งสูงขึ้นไปมาก จนมีออแกนไนซ์เกิดใหม่มากมาย จัดงานวิ่งกันทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละหลาย ๆ งาน เพราะมันคือแหล่งผลประโยชน์ขนาดใหญ่กับกิจกรรมรักสุขภาพครับ
.
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า การโกงแบบแรกเนี่ย
มีออแกนไนซ์ที่คิดหาผลประโยชน์จากท้องถิ่น สถานที่ ที่ชื่อมันขายได้ โดยการประกาศจัดงานวิ่งโดยพลการ ในสถานที่ ท้องถิ่น นั้น ๆ โดยคนในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วม หรือริเริ่มจัดงาน รับสมัครราคาแพง ๆ ดำเนินการไปก่อนที่จะมีการขออนุญาตเป็นทางการ และได้รับการยินยอมจากทุกฝ่ายให้ดำเนินการได้ครับ
ยกตัวอย่างเช่น จังหวัด A มีสถานที่ท่องเที่ยวสวย ชื่อว่าเขื่อน นาครา ไอ้คนจัดก็ประกาศในเน็ตทำดปสเตอร์เสร็จสรรพเลยว่า เขื่อนนาคราฮาล์ฟมาราธอน สมัครก่อนเดือน... ลดครึ่งราคา จัดโดย อบจ.A
หลักของออแกนไนซ์แบบนี้คือ "การตีหัวเข้าบ้านครับ" สมัยนี้การสื่อสารผ่านโซเชียลมันง่าย ราคาถูก มีชุมชนนักวิ่งในโลกออนไลน์เยอะ การประกาศจัดงานวิ่งจึงไม่ต้องลงทุนค่าสื่อประชาสัมพันธ์ เพียงแต่สร้างเพจงานวิ่งขึ้นมาทำรูปกราฟฟิคนิดหน่อยก็กระจายข่าวได้อย่างรวดเร็ว
และสมัยนี้ก็จะมีนักวิ่งจำนวนมากที่พร้อมใจกันสมัครอย่างรวดเร็วหากว่าชื่องานนั้น ๆ น่าสนใจ บวกกับหากมีโปรโมชั่นสมัครก่อนลดค่าวิ่งได้อีก จึงให้ยอดสมัครล่วงหน้ามีจำนวนมากพอที่ ออแกนไนซ์จะมีทุนทำได้อย่างสบาย โดยที่ยังไม่ได้เตรียมงานใด ๆ ก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น
ทีนี้ครับ
หลังจากที่ช่วงแรกไม่มีเงินสักบาท พักหลังพอได้เงินมา ทางออแกนไนซ์จึงค่อยเริ่มประสานงานสถานที่ หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะไปจัดงาน หากสถานที่นั้น ๆ แบ่งบันผลประโยชน์ลงตัว!! งานวิ่งก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
แต่ๆ หากมีกรณีสถานที่นั้น ๆ ไม่อนุญาตขึ้นมา
ไอ้ออแกไนซ์หัวหมอก็จะมาใช้วิชาขู่ให้กลัวครับ กลัวยังไงหน่ะหรอ ก็คือบอกอ้อมๆกับทางอบจ.ว่า ก็อาจจะเกิดกระแสต่อว่านะท่าน ผมมาไกลขนาดนี้ท่านปฏิเสธก็อาจทำให้เสียชื่อเสียงนะท่าน ซึ่งกรณีนี้ หลายครั้งที่เจ้าของสถานที่ตอนแรกๆไม่อยากรับก็ต้องจำใจให้ทำ เพราะออแกนไนซ์มีนักวิ่งเป็นตัวประกัน เพราะบางงานมีคนสมัครมาเป็นพัน ๆ
ทั้งที่มันเริ่มจาก 0 บาท!! แต่มันรอนอนกินลูกเดียวเลย
สมมตินะผมเป็นออแกไนซ์
ผมได้ค่าสมัคร ทั้งรุ่นฮาล์ฟ รุ่นมินิ รุ่นฟันรัน รวมๆกัน 2.2 ล้านนิดๆ
ผมมีคนสมัครเยอะเป็นตัวประกันด้วย
ผมหัวศรีธนญชัยครับ ผมติดต่อไปทางนายกอบจ.บอกว่าท่านครับผมมีงานระดมทุน สนับสนุนการท่องเที่ยวมาให้แบบด่วนเลย เป็นงานวิ่งตามที่ท่องเที่ยวเนี่ยครับท่าน ตอนนี้ผมเอาคนมาวิ่งในงานได้แน่ๆ ไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ผมให้รับยอดรวมมา 1.2ล้านครับ เดี๋ยวผมให้ท่านค่า.... รวมๆค่างาน 8.5 แสน ท่านได้นักท่องเที่ยวเข้าจังหวัดท่านได้ค่าที่พักเข้าจังหวัดต่างหากด้วย ได้โปรโมทสถานที่ให้ดังขึ้นด้วย แค่ช่วยอำนวยสถานที่ให้ ท่านโอเคมั้ย
.
ถ้าฝั่งโน้นโอเคเดี๋ยวสแตนบาด์โน่นนี่นั่นให้ก็จบ แค่นี้งบอีกล้านนิดๆอาทิตย์เดียวผมก็ได้แล้วครับ อันนี้จบอันที่ 1
แบบที่ 2 จัดงานเอง🤫
ก็คือจัดงานแบบคุณภาพต่ำกว่าค่ารับเหมาแหละครับ
ก็อย่างที่ว่าไปแหละ กระแสพี่ตูน x เทรนด์รักสุขภาพ กำลังมาแรง
อีกทั้งการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือการวิ่ง
เพราะแค่มีรองเท้าผ้าใบคู่เดียว คุณสามารถทำได้
ดังนั้นไม่ว่าจะจัดที่ไหนมันก็ต้องมีคนมาวิ่งครับ
สมมตินะครับสมมติ
อาชิงเป็นผอ.โรงเรียนหนึ่ง
วันนึงอาชิงเกิดปิ๊งป่องไอเดีย ได้ว่าอั๊วจัดงานวิ่งเพื่อสุขภาพดีกว่า
ปรากฏว่า Feedback ไม่ค่อยดี อาชิงเลยออกการันตีว่าตอนนี้มีคนวิ่งไม่ต่ำกว่า 500 แน่นอน
โดยคน ก็หาไม่ยากเลยครับ ก็ออกใบสั่งให้เด็กม.ปลายแต่ละห้องเรียนนั่นแหละส่งตัวแทนมาห้องละ 10 - 20 คนใครมาวิ่งจะได้คะแนนพิเศษก็ว่าไป ห้องไหนไม่ครบก็จะโดนปรับคะแนนวิชา....
ทีนี้พอได้ยอดคนมาการันตีวิ่งชัวร์ๆแล้วพอประกาสไป เดี๋ยวคนก็มาสมัครครับ
ทีนี้หละความหรรษาจะบังเกิด
สมมติอาชิงปิ๊งป่องไปเจอรายได้มันมหาศาล แต่ อาชิงดันเกิดโลภขึ้นมา อาชิงก็จะหาวิธีโกงหล่ะ
สมมติได้งบมา 4 แสน ไม่รวมสปอนเซอร์อีก 1 แสน
แทนที่จะจัดงานทั้งหมดก็ไป ตกลงผลประโยชน์กับกลุ่มจัดงานให้ลงตัวก่อนหล่ะ
โดยจะจัดต่ำกว่าคุณภาพ ด้วยวิธีการดังนี้นะ
1. น้ำเกลือแร่ แตงโม ไม่ต้องมี
2.น้ำเปล่าทำเรื่องไปขอสปอนเซอร์เอา
3.เราทำเป็นมอบงบให้โรงพยาบาลบอกว่า กำไรทั้งหมดยกให้ 30,000 บาท
4.ป้ายกม.เราไม่ต้องติดไว้เยอะ เปลืองค่าบอร์ด
6. รถวิ่งเป็นบอร์ดนาฬิกาไฟนำหน้านักวิ่ง ไม่ต้องมีก็ได้
7.จุดรักษาพยาบาลรถฉุกเฉินก็มีไม่ต้องมากละกัน
เอาแค่เบสิคละกัน มีหลายข้อมากกกกก
ทีนี้พอวางแผนเสร็จสรรพ
ตัด 30,00 จากโรงพยาบาลออก ตัดค่าจัดงาน ค่าจ้างคนช่วยงานออกกำไรก็จะเหลืออยู่ช่วงหลักแสนนิดๆ
ทีนี้ก็นอนแอ่นเปลกินกำไรเต็มๆเลย
จอบอวิธีโกง🤑
ทีนี้บางท่านอาจสงสัยว่างานวิ่งมันได้งบเยอะขนาดนี้จริงเหรอ คำตอบก็คือใช่ครับเยอะจริงเดี๋ยวคำนวนให้ดู
เรทราคางานวิ่งส่วนใหญ่นะครับ
งานวิ่งท้องถิ่น อาจจะมีคนเข้าร่วมไม่ถึงหลัก 1,000 และมีค่าสมัครเพียง 200 บาท แต่ถ้าเพิ่มถ้วยVIP ถ้วยละพัน สัก 50 ถ้วย
ก็ช่วยเพิ่มรายได้เยอะ
.
แต่งานใหญ่หน่อย ก็อาจจะมีคนเข้าร่วมถึง 5,000 คน พร้อมค่าสมัคร 500-1,000 บาทเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น งานมาตรฐานนานาชาติอย่างขอนแก่นมาราธอนโน่นหน่ะ เกิน 500 ต่อคนแน่นอน
เพราะฉะนั้นถ้าลองคิดคร่าวๆ “ด้วยตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก”
แต่ละงานวิ่งจะมีคนเข้าร่วม 3,000 คน ด้วยค่าสมัครเบสิคแค่ 350 บาท
เท่ากับงานหนึ่งมีรายได้เข้ามา 1,050,000 บาท
ในหนึ่งปีสมมติผมสามารถมีงานเข้ามาให้จัดสัก 24 งาน ตกเดือนละ 2 งาน
ในหนึ่งปี จะมีเงินรายได้งานวิ่ง 1,050,000 x 24 = ผมจะมีรายได้ 25,200,000 ล้านบาท
สมมติผมหัวหมอชวดเงินกำไรได้ทุกงานงานละ 30 % = ปีนึงผม ได้กำไร 7,560,000.00 ครับ
อันนี้กรณีจัดเองหมด ยังไม่กระจาย สาขาออกไปนะ
ยังครับ ยังไม่หมด!!
นอกจากเงินค่าสมัครที่ลองประเมินขั้นต่ำแล้ว ยังมีเงินหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ร้านค้าที่ขอเข้าไปจัดในสถานที่ เป็นต้น🤑
จะเห็นได้ว่าเงินสะพัดมันมาเยอะขึ้นเรื่อยๆนะเมื่อ Demand ยังมีมากกว่า Supply
จึงไม่แปลกเลยที่หลายๆ งาน โดยเฉพาะงานที่มีชื่อเสียงจัดกันมานับสิบปี จะเห็นได้ว่าต้องสมัครล่วงหน้า และมักจะเต็มก่อนกำหนดจัดงาน 2-3 เดือนครับ🤔
เอาลองนอนหลับแล้วฝันดูว่าถ้าหากินแบบนี้เป็นจะมีรายได้ต่างจากเดิมมากขนาดไหน
ที่เล่าไปทั้งหมดก็แค่มาตีแผ่ให้ฟังครับ ไม่ได้มีเจตนาให้พาดพิงให้ผู้ใดเสียหายหรือชี้นำให้เอาไปทำตามแต่อย่างใด
แค่อยากฝากข้อคิดเรื่องนี้เอาไว้ว่า
“ผู้จัดงานก็ต้องคำนึง และทำให้ตรงกับมาตรฐานที่ทำกันมา โดยไม่หวังกำไรเพียงอย่างเดียว
เพราะหากงานได้ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ผู้จัดงานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมของนักวิ่งเอง จนถึงขั้นแบนการจัดงานนั้นไปเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าท่านไม่ใช่เซียนก็อย่าสะเออะไปเลียนแบบสิ่งไม่ดีเลยนะครับผม”
ถ้าชอบก็ช่วยไลค์ แล้วก็ติดตามเพจเอาไว้จะได้ไม่พลาดอัปเดตบทความตีแผ่แนวเทาๆนะครับผม
I’m sam ครับ😀

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา